•…ยืนยันแน่นหนักกับ “นายกรัฐมนตรีอาเบะ แห่งญี่ปุ่น” ว่า เลือกตั้งในไทยจะจัดขึ้นในเดือน “กุมภาพันธ์ 2562” ซึ่งน่าเชื่อว่าครั้งนี้น่าจะเป็นไปตามนั้น แต่ความเชื่อนั้นไม่น่าจะเพราะคนยืนยันเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยยืนยันมาหลายครั้ง แต่เป็นเพราะสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ เคลื่อนมาถึงจุดที่ “ดิ้นไปทางอื่นได้ยาก”
•…การจัดกระบวนทัพของ “แต่ละพรรคการเมือง” มีเรื่องน่าสนใจให้ติดตามมากมาย ที่เป็น “วาระใหญ่” แต่ดูคนจะไม่ให้ความสำคัญมากนัก น่าจะเป็น “โหวตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่” หลัง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดทางให้มีคู่แข่ง โดยมี หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม กับ อลงกรณ์ พลบุตร เสนอตัวมาเป็นคู่ชิง เหตุที่ “เรื่องใหญ่” กลับ “ไม่น่าสนใจ” เพราะประเมินได้ไม่ยากว่าเป็นแค่ “ละครฉากหนึ่ง” ที่ไม่มีผลอะไรต่อประเทศชาติโดยรวม เพราะที่สุดจะจบลงด้วย “ชัยชนะ” ที่ทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนเด่นด้วยความรู้สึกเป็นสง่ามากขึ้น “ก็แค่นั้น”
•…ความหวังตั้งใจของ อลงกรณ์ พลบุตร ที่ต้องการเห็น “ประชาธิปัตย์” โฉมใหม่ ที่ “มั่นคงในวิถีประชาธิปไตย” ตามที่ประกาศวิสัยทัศน์ ว่า “ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรค จะไม่รับนายกฯซึ่งเป็นคนนอก แม้รัฐธรรมนูญจะเปิดช่องให้ ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์เดินตามครรลองประชาธิปไตยลงมาเป็น 1 ใน 3 รายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอ” และ “ขอให้การบอยคอตการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคที่ผมเป็นหัวหน้าพรรคจะลงเลือกตั้งทุกครั้ง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ไม่มีอำนาจนอกระบบอยู่เบื้องหลัง” เป็นแค่เรื่อง “น่าเสียดาย แต่ไม่มีทางเกิดขึ้น”
•…ส่วน “เพื่อไทย” ที่ไม่มีเวทีอื่นให้เลือกเดิน นอกจากประชาธิปไตย เมื่อยุคสมัยเป็น “ประชาธิปไตยแบบอุปสรรคถูกวางไว้เพียบ” วิธีการยิ่งต้องคิดวางแผนสลับซับซ้อนมากขึ้น นอกจากมี “เพื่อไทย” เป็นพรรคหลัก เป้าหมายที่อยู่ “ส.ส.เขตพื้นที่” แล้ว ยังมี “เพื่อธรรม” ซึ่งมุ่งไปที่ปาร์ตี้ลิสต์ และ “พรรคแนวร่วม” อื่นๆ ตามยุทธศาสตร์ “แยกกันเดิน รวมกันตี” แต่แม้จะคิดแผนการซับซ้อนขนาดนั้น ยังไม่วายที่จะถูกประเมินว่า “ผ่าด่านไม่เสียของ” ได้ยาก
•…ยังไม่ทันขยับอะไรมาก แค่ “ลูกพรรคเพื่อไทย” เดินทางไป “ฮ่องกง” ในวาระที่ ทักษิณ ชินวัตร มาที่นั่น ยังถูกหยิบยกขึ้นมาให้ “กกต.” ตรวจสอบว่าเป็น “ให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่สมาชิกครอบงำพรรค” ซึ่งมี “กฎหมาย” กำหนดโทษไว้ระดับ “ยุบพรรค” เพียงแต่ว่า “ผู้ผ่านประสบการณ์พรรคถูกยุบมาอย่างโชกโชน” น่าจะไม่ปล่อยให้ “ตามล้าง ตามฟัด” ได้ง่ายเหมือนที่ผ่านมา ฟังจาก พานทองแท้ ชินวัตร กลายกลับว่า “ทุกคนในครอบครัวชินวัตรไม่ใช่คนอื่น มีฐานะในพรรคเพื่อไทยถูกตามกฎหมายทุกอย่าง”
•…ประกาศตัวเป็น “พรรคการเมืองของประชาชน” ขอเดินใน “เส้นทางประชาธิปไตย” แต่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศ “ยอมไม่ได้กับความเห็นต่างหลายเรื่องหลายราว” ทั้งที่ “หัวใจประชาธิปไตยคือบริหารความเห็นต่างให้อยู่ร่วมกันได้” แถมคำประกาศว่า “เรื่องนั้นก็ยอมไม่ได้ เรื่องนี้ก็ยอมไม่ได้” นั้น ออกอาการคล้าย “พร้อมไม่ยอมรับการเมืองในระบบ” น้ำเสียงเหมือนจะปลุกคนออกมา “เล่นกันกลางถนน” อีกครั้ง
•…ส่วน “พลังประชารัฐ” แม้จะมีความได้เปรียบมากมาย จาก “กลไกอำนาจ” ที่เอื้อให้ ทว่าถึงวันนี้หากวัดกันเป็น “ตัวๆ ในแต่ละพื้นที่” ยังไม่มี “เขตไหน” ที่ “หวังได้เต็มร้อย” แถมข่าวเรื่อง “เครือข่ายอำนาจ” แหกโผเข้ามาซ้ำซ้อนกัน “จับจองพื้นที่ไว้ก่อนแล้ว” ยิ่งไปกันใหญ่ สุดท้ายดูเหมือนจะขายได้อยู่ประเด็นเดียวคือ “หนุนบิ๊กตู่” เป็นนายกฯ ด้วยความเชื่อว่า “คนกลุ่มใหญ่” จะเทคะแนนให้กับ “อุดมการณ์อันสูงส่ง” นี้
•…หันไปมอง “ภูมิใจไทย” กลับเป็นพรรคที่ยิ่งประกาศตัวผู้สมัครแต่ละเขตออกมา สะท้อน “ตัวจริงเสียงจริง” มากกว่า ภาพที่จะพยายามทำให้ “ประชาชนทั้งประเทศเข้าใจ” คือว่าเป็น “พรรคกลาง” ไม่เดินเส้นทางหนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช.แบบหัวปักหัวปำ
ชโลทร