“ประชาธิปัตย์” ได้ชื่อว่าเป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดในเวทีการเมืองไทย จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะถูกคาดหวังอย่างสูงยิ่งว่าจะมั่นคงในการปกปักรักษาประชาธิปไตยให้อยู่ในกรอบของระบบ สมกับชื่อพรรค
ความคาดหวังนั้นนำสู่ความเชื่อถือ ศรัทธาว่า “ประชาธิปัตย์” เป็นหนึ่งเดียวกับ “ประชาธิปไตย”
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าอะไรที่พรรคการเมืองเก่าแก่นี้กระทำ จะเป็นการง่ายที่จะบอกกล่าวให้ประชาชนเชื่อว่านั่นคือ “วิถีที่เหมาะควรสำหรับประชาธิปไตย”
ด้วยความเชื่อเช่นนี้เอง ในยุคสมัยแห่งโกลาหลทางการเมือง ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ใช้วิธีก่อความวุ่นวายในรัฐสภา ไม่ยอมรับการประชุม ขว้างปาข้าวของ ทุ่มเก้าอี้กลางสภา ยกกำลังไปลากตัวประธานรัฐสภาลงจากบัลลังก์
นำสมาชิกพรรคออกมาเล่นการเมืองบนท้องถนน
ประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง สร้างสถานการณ์ให้การเมืองถึงทางตัน เป็นเหตุให้กองทัพทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ
พาประเทศสู่การปกครองระบอบเผด็จการ
เมื่อผู้นำพรรคอธิบายว่า นี่คือหนทางประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดการปฏิรูปให้เกิดคุณภาพการเมือง สร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
ประชาชนส่วนหนึ่งก็เชื่อตามนั้น
ว่าวิธีการเช่นนั้นคือ หนทางที่เหมาะสมของการพัฒนาประชาธิปไตยไทย
เชื่อเพราะความเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ปลูกฝังให้ประชาชนศรัทธาว่าฝากความหวังไว้ได้
หลังเผด็จการทหารครองอำนาจยาวนาน และมีแนวโน้มชัดเจนว่าวางแผนในทุกมิติที่จะสืบทอดอำนาจต่อไป คล้ายกับเริ่มมีคำถามดังขึ้นเรื่อยๆ
เป็นคำถามที่คำตอบเริ่มสั่นคลอนต่อศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์
มีประชาชนไม่น้อยที่เริ่มรู้สึก เริ่มลืมตาตื่นขึ้นแล้ว คำถามในใจถึง “ความจริงใจต่อประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์”
คำตอบเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมรูปธรรมมากมายที่สั่นคลอนความเชื่อถือศรัทธานั้น
ไม่เพียงภายนอกพรรค แต่ยังมีข่าวกระเส็นกระสายออกมาว่าภายในพรรคประชาธิปัตย์เองก็ขัดแย้งกันรุนแรง
จนมีความเชื่อในระดับหนึ่งว่า หากประชาธิปัตย์ยังอยู่ภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไปไม่รอด พรรคจะแตกครั้งใหญ่อีกรอบ
นั่นเป็นข้อสันนิษฐาน เป็นการประเมิน
ความจริงจะเป็นเช่นไร เอกภาพของพรรคประชาธิปัตย์ยังมั่นคงแค่ไหน
การเลือกหัวหน้าพรรคที่กำลังจะมีขึ้น
โดย อลงกรณ์ พลบุตร กับ นพ.วรงค์ เดชวิกรมกิจ เป็นผู้ประกาศตัวชิงเก้าอี้จาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
และ “อลงกรณ์” แสดงออกชัดเจนถึงแนวทางพรรคที่ต่างไปจากพฤติกรรมที่เห็นต้นเหตุของ “ความกังขาเรื่องจริงใจต่อประชาธิปไตย”
จุดยืนของ อลงกรณ์ พลบุตร ที่ประกาศ เป็นทิศทางที่ชัดเจนว่าจะนำประชาธิปัตย์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
สู่การพิสูจน์ความจริงใจต่อประชาธิปไตย
โดยมีความเชื่อว่าถึงวันนี้มวลสมาชิกประชาธิปัตย์หวั่นไหวกับภาพลักษณ์จนไม่น่าจะเป็นเอกภาพบ้างแล้ว
“เอกภาพ” ที่คือคำถามว่าเป็นอย่างความเชื่อ ความศรัทธาที่เคยมีมาหรือไม่
ผลการเลือกตั้งจะพิสูจน์ว่า “เอกภาพของประชาธิปัตย์” จะให้คำตอบอย่างไรกับความกังขาที่เริ่มเกิดขึ้นมากขึ้น มากขึ้น
การ์ตอง