•…เปิดใจครั้งแรกในฐานะ “ผบ.ทบ.” แม้จะดูเข้าอกเข้าใจเหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องทำรัฐประหาร อันเป็นเรื่องของ “อดีตที่ผ่านไปแล้ว” แต่สำหรับปัจจุบัน และ “อนาคต” คำของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่ว่า “ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ผมขอเน้นย้ำกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยต้องระมัดระวัง เพราะต้องถูกจับจ้องจากนักการเมือง” และขยายความว่า “การเดินต่อไปนี้ต้องระวัง ไม่ให้การเมืองเข้ามาใช้ประโยชน์จากการช่วยเหลือประชาชน” ใครฟังแล้วเข้าใจอย่างไร ไม่สำคัญเท่าตรงกับที่ “บิ๊กแดง” คิดหรือไม่
•…การเมืองหลังเลือกตั้ง ที่คนทุกวงการต้องหาคำตอบกันตาเขม็ง คือ “กองทัพ” จะหนักแน่นแค่ไหนกับ “พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนกลุ่มอำนาจ” คำของ “พล.อ.อภิรัชต์” ที่คล้ายจะสื่อไปถึงผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “เราต้องแยกแยะภารกิจให้ออก นี่คือจุดยืนของกองทัพ เราต้องระมัดระวัง จากนี้ถูกจับตามองแน่” และ “ขอให้มั่นใจว่ากองทัพเป็นกลาง และอยู่เคียงข้างประชาชน” ย่อมทำให้ทุกฝ่ายต้องพยายามตีความให้ตรงกับเจตนาที่ต้องการสื่อสารของ “ผบ.ทบ.” ให้มากที่สุด ด้วยยุคสมัยเช่นนี้ การตีความเจตนาของ “ผู้นำกองทัพ” ออก มีความสำคัญต่อการกำหนดยุทธศาสตร์พรรคอย่างยิ่ง
•…อีกท่อนของการแสดงความในใจครั้งแรกในตำแหน่ง “ผู้บัญชาการกองทัพบก” ในคำถามที่ว่า “ประเทศที่แพ้ในการแข่งขันทางการค้า ต้องใช้เวลากี่ปีฟื้นฟูประเทศ” น่าจะเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายจะช่วยให้คำตอบ โดยเฉพาะในโลกสังคมออนไลน์ ที่ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือสื่อสารได้อย่างเท่าเทียม คำตอบคง “ดุเดือด ถึงอกถึงใจ” ไม่น้อย
•…แม้จะย้ำแล้วย้ำอีกว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ประกาศใช้แล้ว “อยากให้สื่อและประชาชนไปศึกษาทำความเข้าใจ” และ “รัฐบาลหน้าต้องทำตามกรอบนี้” แต่ในฐานะ “โฆษกรัฐบาล” นั้น พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ยังพยายามชี้ว่า “แต่ปรับเปลี่ยนได้ ไม่ได้หวังสืบทอดอำนาจแต่อย่างใด” ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจยากอยู่ระหว่าง “รัฐบาลหน้าต้องทำตามกรอบนี้” กับ “ปรับเปลี่ยนได้” นั้น ใครเป็นคนตัดสินว่า “ที่ปรับเปลี่ยนไปยังเป็นตามกรอบที่บังคับไว้หรือไม่” ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเป็นเรื่องซีเรียส เพราะคำตัดสิน คือ “ชี้เป็นชี้ตายต่อคนคิดปรับเปลี่ยน”
•…เสียงแสดงความห่วงใยการเมืองหลังเลือกตั้งว่าจะ “วุ่นวายระดับรุนแรง” นั้น ไม่ใช่แค่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” แล้ว กระทั่ง “ผู้สนับสนุนเผด็จการมาก่อนหน้านั้น” ยังพยายามแสดงความปรารถนาดีให้ “ผู้มีอำนาจทบทวน” บางเรื่อง เน้นกันชัดๆ ตรงที่ “การเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม” โดยเห็นว่ายิ่งนับวันยิ่งชัดเจนในเรื่องความได้เปรียบ เสียเปรียบจาก “กติกาการเมือง” จนถึงปฏิบัติการของ “เครือข่ายข้าราชการ” เลยไปถึง “การจัดสรรงบประมาณของรัฐ” เป็นเสียงเตือนที่ประสานไปในทางเดียวกัน ของ “ผู้ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาหลายยุค” ทำให้น่าเสียดาย หากผู้มีบทบาทในการกำหนดความเป็นไปของประเทศ ไม่ยอม “หยุดฟัง” เพื่อ “ยั้งคิด”
•…น่าสนใจยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาจริงกับการสื่อสารในโลกออนไลน์ รับ “เลือกตั้ง” แน่นอนย่อมหวังสื่อสารให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ เพื่อขยาย “ความนิยม” ทว่าแค่ไม่กี่วันเริ่มมีคนเป็นห่วงแล้วว่า “ช่องทางสื่อออนไลน์ทั้งหลายเหล่านั้น” จะอยู่ต่อได้สักกี่วัน เพราะเท่าที่เห็นและเป็นไป พื้นที่ของ “ผู้นำประเทศ” กลายเป็นเหมือน “สนามเด็กเล่น” ให้มาแข่งกัน “คิดคำคม ประโยคเด็ด” ชนิดที่ทำให้ “น่าขนหัวลุก” ว่า “อะไรทำให้เด็กๆ ไทยจึงสรรค์สร้างถ้อยคำได้แสบถึงทรวงขนาดนั้น”
•…ไม่ใช่แค่ “กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์” หรอก ที่ทำให้ “คนรุ่นใหม่ที่อยู่กับโลกออนไลน์” ต้องหดหู่ แต่ยังอีกสารพัดกฎหมาย ที่ออกมาด้วยความคิดว่า “คนดีต้องควบคุมคนชั่ว” ด้วยวิธีคิดทื่อๆ แบบ “ถ้าไม่อยากถูกลงโทษก็อย่าทำผิด” เพราะความเชื่อว่า ประเทศจะบริหารด้วย “คนดีอยู่ตลอด” นั้น เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะ “ความดี-ความเลว” นั้น อย่าว่าแต่ “เปลี่ยนคนก็เปลี่ยนไป” เลย กระทั่ง “คนคนเดียวกัน” เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน แรงกดดันเปลี่ยน “พฤติกรรมที่เชื่อว่าดี” ยังเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ ยิ่งผ่านโลกมามากเท่าไร หาก “ไม่เข้าใจสัจธรรมนี้” แล้วถูลู่ถูกังออกกฎหมาย ย่อมเสี่ยงทำให้ “ประเทศเดือดร้อนและคุณธรรมผิดเพี้ยน”
ชโลทร