ไม่ว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 จะมีเจตนา”แฝงเร้น”อย่างไร แต่แรง สะเทือนจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็สูงอย่างยิ่ง
เห็นได้จากการเติบโตเป็นลำดับของ”พรรคอนาคตใหม่”
เห็นได้จากการใช้ “วิทยายุทธ”เพื่อแสดงบทบาทในการผลัก ดันและเคลื่อนไหวโดยการไต่ลวดไปกับประกาศคำสั่งคสช.ฉบับที่ 57/2557 ผ่านการเลือกหัวหน้าของ”พรรคประชาธิปัตย์”
ขณะเดียวกัน ก็สัมผัสได้ถึงการขยับตัวอย่างเข้มข้น”ภายใน” ของ “พรรคเพื่อไทย”
ไม่ว่าจะในเรื่องของ “ผู้นำพรรค”
ไม่ว่าจะในเรื่องการแยกและแตกจากพรรคเพื่อไทยไปเป็นพรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ
ทั้งหมดล้วนเป็นผลสะเทือนของ “รัฐธรรมนูญ”
อย่าคิดว่าเมื่อรัฐธรรมนูญเป็นผลผลิตของ”แม่น้ำ 5 สาย”อันเป็นปัญญาประดิษฐ์จากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
รายรับจะเป็นของ “คสช.”ด้านเดียว
ตรงกันข้าม เมื่อพรรคอนาคตใหม่เริ่มด้วยจิตวิญญาณความ เป็นประชาธิปไตยอย่างมั่นแน่ว โลโก้พรรคที่ด้านล่างสามเหลี่ยมอยู่ด้านบน ด้านบนอยู่ด้านล่าง
ย่อมเป็นทิศทางในการสร้างพรรคของ “อนาคตใหม่”
นี่ย่อมสร้างความแตกต่างไม่เพียงแต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับพรรคประชารัฐ หากแม้กระทั่งต่อพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็แตกต่างประการสำคัญเป็นอย่างมาก คือ การอาศัยฐานประชาชนมาเป็นกำลังไม่ว่าทางการเมือง ไม่ว่าทางการเงิน
นี่ย่อมเป็นอีกด้านอันเนื่องแต่ “รัฐธรรมนูญ”
เหมือนที่พรรคเพื่อไทยกำลังพยายามในการกำหนดยุทธวิธีในการรักษากำลังทีเหนือกว่าด้วยการแยก แตกพรรคย่อย เพื่อต่อกรกับกรรมวิธีการเลือกตั้งอย่างใหม่
หากมิใช่”รัฐธรรมนูญ”จะเกิดกระบวนการต่อสู้เช่นนี้หรือ
เมื่อพิจารณาวิถีดำเนินของ”รัฐธรรมนูญ”ตามความเป็นจริงก็จะมองเห็นว่า มีลักษณะอันเป็นการรุก การรับ อย่างต่อเนื่องและสัม พันธ์กัน
คสช.มิได้ “รุก” หรือเป็นฝ่ายได้คะแนนฝ่ายเดียว
ตรงกันข้าม ภายในลักษณะ”รับ” ของอีกฝ่ายก็นำไปสู่การ”รุก” และแปรฝ่ายรุกให้กลายเป็นฝ่าย “รับ”ด้วยเช่นกัน