เท่าที่อ่านดู “ไม่รับประกัน” ว่าจะไม่มีรัฐประหาร ไม่ได้เป็นคำที่ออกจากปากของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก
แต่เกิดจากการถามกับตีความ
ไม่กล่าวตามตรง แต่คงทิ้งไว้เป็น “นัยยะ” ผู้ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านจึงตามหา “ความหมาย”
เมื่อ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารได้โพสต์ข้อความระบุว่า พล.อ.อภิรัชต์ เผยไม่รับประกันปฏิวัติรัฐประหาร ก็ก่อให้เกิด “การวิพากษ์” ตามมา
ที่จริงแล้ว พล.อ.อภิรัชต์พูดว่า ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจลก็ไม่มีอะไร
คล้ายจะบอกว่า ไม่ฝักใฝ่ ไม่ถวิลหา “อำนาจ” ด้วยกระบอกปืน ซึ่งทั่วโลกถือว่า “เถื่อน”
แต่ อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ แห่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองเห็นว่า การหาประเด็นก่อเรื่องเพื่อปฏิวัติทำไม่ยาก แค่ให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก่อม็อบเยอะๆ ก็เป็นเหตุให้ทหารต้องออกมารักษาความสงบแล้ว
มุมมองของอาจารย์เจษฎาไม่ได้เกินเลย
การปฏิวัติรัฐประหารแทบทุกครั้งมาจากการจงใจ “จุดไฟ” สร้างสถานการณ์
ก่อรัฐประหารต้องเตรียมการ
ไม่มีคำว่า “บังเอิญ”
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยคือพยาน ทหารไทยเราทำได้แม้กระทั่งการรัฐประหารตัวเอง !
เสียงทักหรือคำตักเตือนสติของอาจารย์เจษฎาอาจจะบาดหัวใจ แต่ก็จริง ที่ว่า ทหารกินเงินเดือนจากภาษีประชาชน กองทัพไม่ใช่รัฐอิสระ
ลุล่วงมาถึง พ.ศ.นี้ ผู้นำรัฐบาลเที่ยวประกาศกับชาวโลกไปทั่วแล้วว่าประเทศจะก้าวสู่ 4.0 “ทหาร” ควรจะเป็นทหารอาชีพ “กองทัพ” ควรรู้จักหน้าที่ หยุดแทรกแซงทางการเมืองทันที
จะว่าไป ผบ.ทบ.ก็คงไม่ได้ตั้งใจออกมาข้องแวะกับการเมือง
แต่เมื่อถูกถาม นายทหารชั้นผู้ใหญ่มักตอบทุกเรื่อง ทั้งที่การบริหารกิจการบ้านเมือง ควรเป็นเรื่อง “ต้องห้าม”
การตอบคำถามทางการเมืองของทหาร เหมือนกับการพลิกเอาด้านที่เป็น “จุดอ่อน” ออกมาปะทะเข้ากับ “ด้านคม” ของผู้อื่น
