ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
มีความพยายามสร้างความปรองดองขึ้นอีกครั้งจากฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐ โดยก่อนหน้านี้เมื่อสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาผลักดันเรื่องดังกล่าว ต่อมาสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีคณะกรรมการที่ผลักดันปรองดองให้เกิดขึ้น แต่ทั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถทำให้เกิดความปรองดองได้ ซ้ำร้ายยังเกิดความแตกแยกมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งฝ่ายทหารเข้ามายึดอำนาจ
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งนำคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจ ก็ใช้เหตุผลความแตกแยกเป็นเหตุผลหนึ่งในการรัฐประหาร และตั้งเป้าหมายที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นภายในชาติ แต่ดูเหมือนที่ผ่านมายังไม่พร้อม ฝ่ายทหารใช้วิธีออกกฎและบังคับมิให้ผู้คนแสดงออกทางการเมือง แต่วิธีการดังกล่าวย่อมไม่ยั่งยืน ขณะเดียวกันเคยมีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวมทั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอให้มีการนิรโทษกรรมเพื่อนำไปสู่ ความปรองดอง แต่ก็ยังไม่บรรลุผล สุดท้ายมีความเคลื่อนไหวจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอจัดตั้งคณะกรรมาธิการ 24 คน
หลังจากมีข่าวเผยแพร่ ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับในทำนองไม่มั่นใจในการดำเนินการ อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. ระบุว่า แม้แต่ปัจจุบันยังมีการคุกคามผู้เห็นต่าง แล้วความปรองดองจะเกิดได้อย่างไร ส่วนพรรคเพื่อไทยมองว่าความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดความยุติธรรม กปปส.ยินดีเข้าร่วมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
ความพยายามให้เกิด ความปรองดองนี้น่าสนับสนุน แต่ต้องทำให้ทุกฝ่ายมีความไม่ไว้วางใจกันและกัน เริ่มกันที่ฝ่ายรัฐบาล รวมถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะต้องแสดงจุดยืนความเป็นกลาง ไม่สนับสนุนกฎหมายหรือใช้อำนาจเพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอย่างขัดกับ หลักการสากล ไม่ไล่ล่ากลุ่มเห็นต่าง หรือเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เป็นคู่ขัดแย้ง หากสามารถสลัดหลุดความขัดแย้ง 2 ขั้วไปได้และหันมาเริ่มต้นด้วยความยุติธรรม ทั้งรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติแสดงความจริงใจให้ปรองดองเกิดขึ้น กระทั่งประชาชนเชื่อถือเพราะทุกอย่างประจักษ์แก่สายตา ณ เวลานั้น กระบวนการปรองดองจึงพอมีโอกาสสำเร็จ แต่ถ้าทุกฝ่ายยังเป็นคู่กรณีกันและกันเช่นปัจจุบัน คงไม่มีวันเกิดความปรองดองขึ้นอย่างแน่นอน