หลายฝ่ายเป็นห่วงว่า ร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบแล้ว ส่อละเมิดสิทธิประชาชน และอาจกระทบต่อธุรกิจการลงทุน “มติชนออนไลน์” รายงานข่าวจาก เว็บไซต์ asia.nikkei.com ว่า การแข่งขันธุรกิจไอทีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังดุเดือด ยักษ์ใหญ่หลายบริษัท ทั้ง อเมซอน กูเกิล อาลีบาบา หันมาสนใจตั้งดาต้า เซ็นเตอร์ที่อินโดนีเซีย แทนที่จะเป็นสิงคโปร์หรือประเทศอื่น ก่อนหน้านี้ อเมซอนลงทุนเป็นเงินถึง 14 ล้านล้านรูเปียห์ ในอินโดนีเซีย
ยังมีเสียงจากสภาที่ปรึกษาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (US-ASEAN Business Council : US-ABC) ส่งหนังสือถึงปลัดกระทรวงดีอี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ทักท้วงว่าร่าง พ.ร.บ.ทำให้เกิดปัญหาในการตีความและมีขอบเขตที่กว้างขวางเกินไป โดยเฉพาะอำนาจเลขาธิการ ทั้งการใช้ดุลพินิจ และอำนาจตามมาตรา 54 ถึง 57 เรียกขอข้อมูล เข้าถึงข้อมูล เข้าไปในสถานที่ ยึดอุปกรณ์ มาตรา 58 ให้เข้าพื้นที่เอกชน สั่งหยุดการใช้คอมพิวเตอร์และระบบ หรือมาตรา 64 ที่ระบุว่าหากนิติบุคคลทำผิด กรรมการผู้จัดการหรือตัวแทนของนิติบุคคลทั้งหมดต้องถูกลงโทษด้วย ทั้งโทษปรับและจำคุก ฯลฯ
ความเห็นจากนายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ระบุว่าหลักการคือบุคคลใดหรือองค์กรใดกระทำผิด รัฐมีหน้าที่ตรวจสอบ แต่ต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ด้วยการตรวจสอบถ่วงดุล ให้ผ่านการกลั่นกรองของศาล เช่นต้องขอหมายศาล แต่กฎหมายใหม่ไม่ต้องมีคดี คณะกรรมการเพื่อความมั่นคงทางไซเบอร์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจมาก จะตรวจค้น จับกุม ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยบันทึกความจำ บังคับบอกรหัสเพื่อเปิดข้อมูลได้หมด ไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองของศาล ซึ่งไม่ใช่ระบบสากล นิติรัฐต้องมีระบบตรวจสอบถ่วงดุล และตัวบุคคลถ้ามีอำนาจมากไปจะทุจริตใช้อำนาจในทางมิชอบได้
การออกกฎหมายที่มุ่งควบคุม เน้นความมั่นคง จนละเลยหลักการสากล จะเกิดปัญหาอย่างที่นายศรีอัมพรระบุ สร้างปัญหากับนักลงทุน ดังเสียงทักท้วงจาก US-ABC และอาจสูญเสียโอกาส ดังข่าวการลงทุนด้านไซเบอร์ที่ข้ามประเทศไทย ไปยังประเทศที่อยู่ในระบบเปิดกว้างมากกว่า ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาลและ คสช. พิจารณากฎหมายนี้ด้วยความรอบคอบและมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล เอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
