ที่มา | กรองกระแส, มติชนสุดสัปดาห์ |
---|---|
เผยแพร่ |
หากการตัดสินใจของ คสช. และของรัฐบาลในการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ออกคำสั่งปลดบอร์ด สสส. จำนวน 7 คนออกจากตำแหน่ง
ถือเป็น “ความผิดพลาด” ในทาง “ยุทธศาสตร์”
อย่างที่ ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี “ราษฎรอาวุโส” สรุป และเครือข่าย “ภาคประชาสังคม” ในทางสุขภาพแสดงความเห็นด้วยอย่างเงียบๆ
กรณีอันเกี่ยวกับการพิจารณา “สมเด็จพระสังฆราช” ก็เป็นอีกเรื่อง 1 ซึ่งสำคัญ
สำคัญอย่างยิ่งยวดในบรรดาพุทธศาสนิกชน หากสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อ “คณะสงฆ์” เพราะตำแหน่งของ “สมเด็จพระสังฆราช” คือ “ประมุขแห่งสงฆ์”
มหาเถรสมาคมจะมี “มติ” อย่างไรจึง “สำคัญ”
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะมี “มติ” และดำเนินการอย่างไรตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 จึง “สำคัญ”
หากตัดสินใจถูกต้อง การณ์ก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่น เป็นที่พอใจ
ขณะเดียวกัน หากตัดสินใจอย่างชนิด “สวนทาง” กับกระแสและความรู้สึกของพุทธศาสนิกชน รวมถึง “คณะสงฆ์” โดยรวม ก็อาจจะกลายเป็นเรื่อง กลายเป็นปัญหา
ตรงนี้แหละจึงสรุปว่ามีลักษณะในทาง “ยุทธศาสตร์”
ตำแหน่ง สังฆราช
ขัดแย้ง 2 แนวทาง
ภาพที่เห็น ณ เบื้องหน้าพุทธศาสนิกชน เบื้องหน้า “คณะสงฆ์” ต่อการเคลื่อนไหวในตำแหน่งอันเกี่ยวกับ “สมเด็จพระสังฆราช” ก็คือ
1 มติของมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 5 มกราคม
เป็นมติโดยความเป็นเอกภาพที่เห็นชอบให้เสนอ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) เพื่อให้รัฐบาลนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
เหตุผลที่สำคัญ คือ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่มีสมณศักดิ์อาวุโสสูงสุด
เหตุผลที่สำคัญ คือ ข้อเสนอนี้มาจากสมเด็จพระราชาคณะซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมจากนิกายธรรมยุต
และได้รับความเห็นชอบทั้ง มหานิกาย และ ธรรมยุติกนิกาย
1 มตินี้ดำเนินการบนพื้นฐานแห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 จากนั้นก็นำมตินี้เสนอต่อรัฐบาลเพื่อดำเนินการให้ครบถ้วนต่อไป
นี่คือทิศทางหลัก นี่คือทิศทางใหญ่
กระนั้น ก็มีอีกทิศทาง 1 ปรากฏขึ้นอย่างอึกทึกครึกโครมในการเคลื่อนไหวคัดค้านต่อต้านมติของมหาเถรสมาคมนี้
เห็นว่า ไม่เป็นการเหมาะสมที่จะมีการเสนอชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ)
ความเห็นต่างนี้ไม่เพียงแต่จะมีการเสนอให้มีการสอบสวนเรื่องราวในทางคดีความของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) และถือว่าเป็นประเด็นที่รัฐบาลจะต้องระงับยับยั้งการเสนอชื่อจนกว่าจะมีการสรุปผลออกมาอย่างแน่ชัด
และมีการเสนอให้ตีความ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2505 เสียใหม่ว่ามิใช่เริ่มต้นจากมหาเถรสมาคม หากแต่ต้องเริ่มต้นจากรัฐบาล
เป้าหมาย 1 เพื่อสกัด สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ)
เป้าหมาย 1 เพื่อรั้งดึงและซื้อเวลามิให้กระบวนการเสนอชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) ดำเนินไปด้วยความราบรื่น
นี่คือสิ่งที่ “คสช.” และ “รัฐบาล” จักต้อง “ตัดสินใจ”
กระบวนการ ต่อต้าน
รากฐาน รัฐประหาร
น่าสังเกตว่า ภายในกระบวนการต่อต้าน บางคนดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นถึงกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี บางคนเคยเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) บางรูปเคยเป็นพระที่เป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวร่วมกับ กปปส.
จุดร่วมก็คือ มีส่วนในการปูทางและสร้างเงื่อนไขอันนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
บางคนจึงได้รับการปูนบำเหน็จรางวัล มีตำแหน่งทางการเมือง
บางรูปแม้จะไม่ได้รับการปูนบำเหน็จรางวัล มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ก็สามารถเคลื่อนไหวขัดกับคำสั่งของ คสช. โดยไม่ถูกคุกคาม ดำรงอยู่ในสถานะแห่งความเป็นอภิสิทธิ์ชนในทางการเมือง
การเคลื่อนไหวจึงมี “น้ำหนัก” มีผลสะเทือน
การที่ คสช. การที่รัฐบาลมีท่าทีละล้าละลัง ควรที่จะปฏิบัติไปตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 กลับไม่สามารถเดินหน้าได้โดยราบรื่น
สะท้อนให้เห็นว่า คสช. และรัฐบาลมีความเกรงใจ
ไม่ว่าการยื้อเวลาในการเสนอ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) จะเป็นการดำเนินการในเชิงยุทธวิธี แต่ก็ส่งผลสะเทือนไปยังยุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง กว้างขวาง และยาวไกล
ทำให้เห็นว่า คสช. และรัฐบาลขาดความกล้าในการดำเนินการ
แม้ว่าจะมี “คณะสงฆ์” เป็นฐานอันใหญ่โต แม้ว่าจะสอดรับกับความรับรู้ของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ แต่เสียงคัดค้านและต่อต้านจากพันธมิตรในแนวร่วมทางการเมืองดั้งเดิมก็ทรงพลังอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มิอาจตัดสินใจได้อย่างถูกถ้วน
และมีโอกาสที่การตัดสินใจในขั้นที่สุดจะมิได้เป็นเรื่องในทาง “ยุทธวิธี” หากแต่จะถลำลึกลงไปในประเด็นทาง “ยุทธศาสตร์”
ผิดพลาด การเมือง
ผิดพลาด ยุทธศาสตร์
บทเรียนจากกรณีการตัดสินใจผิดพลาดในการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในการปลดบอร์ด สสส. จำนวน 7 คน
มีผลสะเทือนอย่างล้ำลึกและกว้างไกลยิ่งอยู่แล้ว
หากกรณีการเสนอ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) ทำให้ คสช. และรัฐบาลตัดสินใจสวนทางกับความเรียกร้องต้องการของคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนเข้าไปอีก
นี่ย่อมเป็นอีกกรณี 1 ของความผิดพลาดในทาง “ยุทธศาสตร์”
ไม่ว่าในทางการเมือง ไม่ว่าในทางการพระศาสนา การตัดสินใจอย่างผิดพลาดในทาง “ยุทธศาสตร์” เป็นเรื่องสำคัญ
สำคัญถึงขั้นมีอุปมา “เดินหมากผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน”