ยิ่งใกล้ถึงเดือนธันวาคม ระยะเวลา 90 วันของบทเฉพาะกาลเรื่องการประกาศและบังคับใช้พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ยิ่งหดแคบลงเป็นลำดับ
ความไม่แน่นอนอันดำรงอยู่ในทางการเมืองยิ่งเผยแสดงตัว
ตนเด่นชัดขึ้น
เห็นได้จากปรากฏการณ์จาก”ตระกูลสะสมทรัพย์”
ที่เคยคาดหมายกันว่าจะไหลไปรวมอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ หรือหากมิใช่ก็น่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย แต่ในวันที่ 26 ตุลาคม ก็กลายเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา
หรือกรณีของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ซึ่งเคยนำมวลชนมาต้อนรับการไปเยือนของ”กลุ่มสามมิตร”
แต่หวยกลับออกที่ “พรรคท้องถิ่นไทย”ของ ชัช เตาปูน
ความเงียบของพรรคพลังประชารัฐปีกของ นายอุตตม สาวนายน กับปีกของกลุ่มสามมิตรที่นำโดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จึงอยู่ในความสนใจเป็นอย่างสูง
โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวอันเกี่ยวกับ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย
1 เป็นข่าวว่ามีความพยายามหวนคืน “เพื่อไทย”
ขณะเดียวกัน 1 เมื่อไม่ได้รับการสนองตอบจากพรรคเพื่อไทยก็มีข่าว นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข และคณะอาจไหลไปอยู่กับ พรรคชาติไทยพัฒนา
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ทำไมจึงได้นำเอากรณีของ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข มาเป็น “เหยื่อ”
คำตอบที่ตรงเป้าที่สุด คือ การต่อรอง
เป็นการต่อรองระหว่างพรรคพลังประชารัฐสาย 4 รัฐมนตรีกับ “กลุ่มสามมิตร”โดยหยิบยกกรณี นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข มาเป็นประเด็น
เป็นการต่อรองก่อนวันที่ 26 พฤศจิกายน
พลันที่มีเสียงสำทับจากกกต.ในเรื่องที่จะต้องมีพระราชกฤษฎีกา เลือกตั้งออกมาภายในเดือนพฤศจิกายนก่อนเดือนธันวาคม
วันที่ 26 พฤศจิกายน คือ เส้นตาย
หากใครไม่สามารถหาพรรคการเมืองสังกัดได้ภายในวันที่ 26 พฤศจิกายน นั่นหมายถึงหมดสิทธิ์อย่างสิ้นเชิงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง
นั่นหมายถึง 22 วันอันตรายทางการเมือง
