พลันที่มีการจัดทัพประจันหน้ากันระหว่างพรรคตระกูล “พลัง”กับ พรรคตระกูล “เพื่อ” ก็ก่อให้เกิดการเลือกข้างในทางการเมืองขึ้นโดยอัตโนมัติ
นั่นก็คือ จะอยู่กับพรรคตระกูล “พลัง” หรือว่าจะอยู่กับพรรคตระกูล “เพื่อ”
แม้ว่าจะมีความพยายามจากพรรคประชาธิปัตย์โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามจะสร้างพรรคฝ่ายที่ 3 ตามแนวทางการ เมืองในแบบ “สามก๊ก” ขึ้น
โดยพรรคประชาธิปัตย์คือ พรรคทางเลือกที่ 3 นอกเหนือจาก พรรคตระกูล “พลัง” และพรรคตระกูล “เพื่อ”
แต่ในที่สุดแล้วก็มิอาจหนีพ้นไปจาก 2 ทางเลือกนี้ได้
หากดูจากปริมาณคล้ายกับว่าพรรคตระกูล “พลัง” จะมีความเหนือกว่าพรรคตระกูล “เพื่อ”
เห็นได้จากความคึกคักของพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อประสานเข้ากับพรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรคพลังชาติไทย พรรคพลังพลเมืองไทย พรรคพลังธรรมใหม่ และที่สุดคือพรรคพลังชล
สร้างความอบอุ่นให้กับพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างสูง
กระนั้น ภายในพรรคตระกูล “พลัง” นอกเหนือจากพรรคพลังชลและพรรครวมพลังประชาชาติไทยแล้ว นอกนั้นก็ล้วนเป็นพรรคหน้าใหม่
และรวบรวมพละกำลังมาจาก “พลังดูด”
ขณะที่ภายในพรรคตระกูล “เพื่อ” อันมีพรรคเพื่อไทยเป็นทัพหลวง ก็ล้วนแต่เป็นการต่อยอดมาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ครองความเป็นพรรคอันดับ 1 มาอย่างยาวนาน
แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็มิอาจต่อกรได้
พลันที่โรดแมปการเลือกตั้งก้าวไปถึงวันที่ 26 พฤศจิกายนซึ่งเป็นเส้นตายของการเลือกพรรคสังกัด
ภาพทุกภาพก็จะมีความแจ่มชัด
แจ่มชัดว่าใครจะอยู่กับพรรคตระกูล”พลัง” แจ่มชัดว่าใครจะอยู่กับพรรคตระกูล”เพื่อ”
เหลือเพียง 2 แนวทางนี้เท่านั้น ไม่มีหนทางที่ 3