“สันติ พร้อมพัฒน์”ยกก๊วนต้อนรับ“สุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์”เข้าพรรคพลังประชารัฐ

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 ที่บริเวณไร่สุพาพิศ หมู่ที่ 2 ต หนองไผ่ อ หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)นำกลุ่มอดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ ประกอบด้วยนายเอี่ยม ทองใจสด, นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์, นายจักรัตน์ พั้วช่วย ซึ่งย้ายออกจากพรรคเพื่อไทยเข้าพรรคพลังประชารัฐ และน.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ ร่วมแสดงความยินดีกับนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ที่ตัดสินใจออกจากพรรคเพื่อไทยหันมาซบพรรคพลังประชารัฐ ตามคำเชื้อเชญของนายสันติและกลุ่มอดีตส.ส.ในกลุ่ม ท่ามกลางมีผู้นำท้องถิ่นและนักการเมืองท้องถิ่นทั้งในเขตอำเภอหนองไผ่ และอำเภอข้างเคียง ราว 500 คนไปร่วมแสดงความยินดี พร้อมฟังคำชี้แจงสาเหตุของการย้ายพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ กล่าวว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากผลพวงรัฐประหารที่ผ่านมา ทำให้มีหลายคนสงสัยที่ตนและทีมงานตัดสินใจมาสังกัดพรรคพปชร. ซึ่งตนคิดมาตลอดว่าทำอย่างไรจะแก้การรัฐประหารหรือให้ประชาธิปไตยกลับมาโดยเร็วและกลับมาอย่างถาวร ฉะนั้นตนเป็นส่วนหนึ่งในภาคประชาธิปไตย หากไม่แก้ไขและยังปล่อยให้ต่อสู้ขัดแย้งกัน เมื่อใดจะเดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเสียที“ถามว่าชอบไหมเผด็จการ ต้องตอบว่าทีมงานอดีตส.ส.เพชรบูรณ์ต่างไม่ชอบแน่นอน และพี่น้องประชาชนทั้งประเทศก็ไม่ชอบ แต่ยังไม่ได้รังเกียจกลุ่มคนที่มาจัดการให้บ้านเมืองเกิดความสงบในวันนั้น ผมเองได้รับผลกระทบค่อนข้างมากคนหนึ่ง เพราะในวันนั้นเป็นรมต.ดูแลบ้านเมืองอยู่แล้ว แต่ในโอกาสที่เป็นรมต.ก็น้ำตาตกทุกวัน เพราะถ้าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นเอกภาพแยกกันเป็นฝักฝ่าย แม้จะเข้าใจกันดีว่าในหมู่คนจำนวนมากมีความคิดเห็นแตกต่างกันในสมัยนั้น ผู้มีอำนาจเอาความเห็นที่ต่างกันแทนที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแล้วร่วมกันพัฒนาประเทศเพื่อประชาชน แต่ทุกคนคิดเพียงจะเอาชนะกันเพียงอย่างเดียว ไม่ลดราวาศอกตามคำโบราณที่สอนใจว่า ช้างสารชนกันไม่ว่าใครจะผิดหรือถูก หญ้าแพรกอย่างพวกเราก็แหลกลาญฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ผมและกลุ่มส.ส.เพชรบูรณ์ จึงตัดสินใจจะถือธงนำเพื่อแก้ไขเผด็จการให้ได้
บรรพบุรุษสอนพวกเราไว้ หากไม่เข้าถ้ำเสือกลัวเสือก็ไม่ได้ลูกเสือแน่นอน จึงตัดสินใจนำทีมงานอดีต ส.ส.เพชรบูรณ์เข้าสังกัดพรรคประชารัฐ เพราะฉะนั้นสีดำหรือสีใดๆจะไม่ไปเปลี่ยนให้เป็นสีขาวจะไปทำให้เจือจาง เพื่อให้สีที่เป็นเผด็จการมาเป็นสีแห่งประชาธิปไตยให้ได้อย่างที่ทุกคนคาดหวัง วิธีคิดของฝ่ายรัฐประหารหรือไม่ว่าวิธีคิดฝ่ายประธิปไตย ล้วนแต่สามารถพัฒนาประเทศได้ทั้งสิ้น แต่ประสิทธิภาพคุณภาพเป็นที่ยอมรับของประชาโลกจะแตกต่างกันไป” นายสันติ กล่าวด้านนายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ในอดีตการเมืองแตกเป็น 2 ขั้ว กระทั่งภายหลังมีการรวมตัวกันเป็นปึกแผ่น ทำให้การแข่งขันเบาบางลง และการพัฒนามีแนวโน้มดีขึ้นเป็นอันดับ ก่อนหน้านี้ตนนอนไม่หลับมาหลายวัน ในที่สุดจึงตัดสินใจบางครั้งอาจเจ็บปวด แต่เพื่อทีมเพชรบูรณ์จึงต้องทำยืนยันจะทำให้ดีที่สุด “ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เดินหน้าหาสมาชิกพรรคฯ ต้องขอโทษทางทีมงาน ต่อไปนี้คงต้องทำงานมากขึ้น เพราะต้องไปชี้แจงชาวบ้านว่าเกิดอะไรขึ้น จะเดินอย่างไร ยืนยันว่าตั้งใจจะดูแลกันอยู่แล้วจะอยู่พรรคไหนก็ไม่เป็นไร เพียงแต่หัวใจเราต้องหลอมเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ เป้าหมายเพื่อต้องการแก้ปัญหาปากท้องของชาวเพชรบูรณ์ จากการคุยนอกรอบกับพวกเรา ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวให้กลับมาเป็นทีมเดียวกัน จะสบายใจขึ้นด้วยกันทุกฝ่าย ตอนนี้มองว่าการเมืองไม่ปกติและการเลือกตั้งก็ไม่ปกติ หลายคนรักและอยากช่วยแต่มีคำถามว่า หากมีคนเดินตามหลังจะให้ทำอย่างไร ผมคิดนะ ไม่ใช่คิดว่าตัวเองจะปลอดภัย เพื่อนร่วมทีมและทีมงานต้องปลอดภัยด้วย นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจตกลง โดยไม่ฝืนความรู้สึกและฝืนกระแสต่อไป” นายสุรศักดิ์กล่าว

ข่าวแจ้งว่า สำหรับน.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ เป็นรองประธานสภา อบจ.เพชรบูรณ์และส.อบจ.เพชรบูรณ์ เขตอ.เมืองเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ยังเป็นหลานนายวิจิตร พรพฤฒิพันธุ์ อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งถูกวางตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ หลังทีมงานนายสันติเจรจานายวิจิตรให้เข้าร่วมทีม แต่นายวิจิตรปฏิเสธ ส่วนนายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี อดีต ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้อยู่ในทีมอดีต ส.ส.เพชรบูรณ์กลุ่มเดียวกับนายสันติ ยังคงยืนกรานอยู่พรรคเพื่อไทยต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image