แม้พรรคประชาธิปัตย์จะหงุดหงิดกับบทบาท นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในห้วงก่อนและหลังการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอย่างไร
แต่บทสรุปของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่อผลงานเศรษฐกิจของคสช.
ก็เย้ายวนใจเป็นอย่างยิ่ง
หากพิจารณา “กลยุทธ์” การวิพากษ์และการแถลงของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผ่านกระบวนการพรรครวมพลังประชาชาติไทย ก็จะสัมผัสได้ในลักษณะ “ร่วม”
กระบวนท่าเช่นนี้คือกระบวนท่าที่พรรคประชาธิปัตย์จัดเจนอย่างเป็นพิเศษ ตั้งแต่ยุค นายควง อภัยวงศ์ กระทั่งยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นั่นคือ หยิบประเด็น”เศรษฐกิจ”มาขยาย
ต้องยอมรับว่า รัฐบาลคสช.ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในด้านการสร้างความสงบ ด้วยมาตรการเข้มจากประกาศและคำสั่งคสช.
แต่เรื่องในทางเศรษฐกิจถือว่าเป็นจุดอ่อนด้อย เปราะบาง อย่างยิ่ง
เพราะหากการบริหารจัดการปัญหาทางเศรษฐกิจประสบผลสำเร็จคงไม่มีการเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีโดยปลด ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ออกไปในเดือนสิงหาคม 2558
แล้วมอบให้อยู่ในมือของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
โดยมี 4 ยอดกุมาร นายอุตตม สาวนายน นายสุวิทย์ เมษิน ทรีย์ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายกอบศักดิ์ ภูจินดา เป็นมือไม้สำคัญในการทำงาน
ก็ 4 ยอดกุมารนี้มิใช่หรือที่อยู่ “พรรคพลังประชารัฐ”
แต่แล้ว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็กระแทกเข้าไปโดยสรุปออกมาสั้นๆว่าชีวิตชาวบ้าน “สาหัส”
คำว่า “สาหัส” อันออกมาจากปากพรรครวมพลังประชาชาติไทยฟาดเข้ายอดอก “พรรคพลังประชารัฐ” โดยตรง
เท่ากับเป็นการนำร่องในทางการเมือง
ไม่เพียงแต่พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ พรรคอนาคตใหม่จะขานรับ หากพรรคประชาธิปัตย์ก็จ้องตาเป็นมันเพราะรู้มือของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นอย่างดี
เมื่อ สุเทพ รวมพลังประชาชาติไทย เป็นปี่ อภิสิทธิ์ ประชาธิปัตย์ ก็พร้อมเป็นขลุ่ยประสานเสียงให้