เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 6 ธันวาคม ที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) แถลงย้ำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์แสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่าจะเข้าไปสู่พรรคการเมืองในบัญชีรายชื่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อมารัฐมนตรีร่วมคณะที่เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้ประกาศว่าจะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้มีการปฏิเสธใดๆ สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์จึงอยู่ในฐานะของผู้แข่งขันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถทำหน้าที่อื่นหรือเป็นกรรมการใดได้อีกต่อไป ด้วยเหตุผลที่พยายามอธิบายว่า ที่ผ่านมาเราต้องมีรัฐบาลรักษาการโดยไม่ต้องลาออกแต่อย่างใด แต่ท่านและคณะคงจะลืมไปว่า คำว่ารัฐบาลรักษาการ เมื่อมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง รัฐบาลจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับ กกต.ไม่ว่าเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินหรือการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการก็ต้องได้รับการอนุมัติจาก กกต.ทุกครั้ง
“แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจตามมาตรา 44 จนถึงได้รัฐบาลใหม่ นั่นหมายความว่า กกต.จะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งผู้เสนอตัวของพรรคการเมือง แต่มีอำนาจเหนือกว่า กกต.ทั้ง 10 คน นี่คือความแตกต่าง แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายใดที่จะห้ามไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งต่อไป แต่คำว่าจริยธรรมทางการเมืองและธรรมาภิบาลเป็นคำที่ไม่ได้บัญญัติอยู่ในกฎหมาย เพราะเมื่อเจตนารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ได้แถลงอย่างชัดเจนว่า ภายหลังจากการเลือกตั้งจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีความสุข ความสงบ และความสงบนั้นจะเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งที่มีความสุจริตและเที่ยงธรรม วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบผู้เสนอตัวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทุกพรรคการเมืองอยู่แล้ว ยังไม่ทันที่จะมีการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ก็จะมีเสียงถึง 250 เสียงอยู่ในมือ พรรคอื่นเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ พล.อ.ประยุทธ์เริ่มต้นจาก 250 คน จึงได้เปรียบคนอื่นมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วประเด็นต่อมาคือ 4 คณะรัฐมนตรีซึ่งไปดำรงตำแหน่งทั้งหัวหน้าพรรคการเมือง รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค และกรรมการบริหารพรรค ก็มาเป็นโฆษกรัฐบาล ด้วยจริยธรรมทางการเมืองก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องตัดสินใจ ถ้าต้องการจะสืบทอดอำนาจแม้ว่าจะปฏิเสธก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ 100 คำพูดไม่เท่าการกระทำ พล.อ.ประยุทธ์ต้องกล้าเสียสละ ต้องกล้าที่จะเข้าสู่สนามการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและยุติธรรมต่อคนอื่น” นายจตุพรกล่าว และว่า
“วันนี้ไม่มีใครสู้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ และ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่ทหารคนเดียว แต่ความเป็น พล.อ.ประยุทธ์ก็คือการยุบ คสช.มาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐทั้งหมด ดังนั้น อย่ามาอธิบายว่านี่ไม่ใช่เรื่องการสืบทอดอำนาจ นี่เป็นเรื่อง พล.อ.เอกประยุทธ์คนเดียว ไม่ใช่หลักทางความคิดของกฎหมาย คณะของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนเขียนขึ้นมาเองทั้งสิ้น การประชุมในวันที่ 7 ที่พรรคการเมืองได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะไม่เข้าร่วม เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ได้แสดงทรรศนะอย่างชัดเจนว่าจะให้พรรคการเมืองอื่นเข้ามาฟังเท่านั้น ไม่ใช่เข้ามาแลกเปลี่ยนหรือพูดคุยหาทางออกให้กับชาติบ้านเมือง เท่ากับว่าให้พรรคการเมืองทุกพรรคมาฟังตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ต้องการจะเข้าแข่งขันในตำแหน่งนายกฯชนิดที่บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น ท่านต้องตัดสินใจ อย่าเอาทั้ง 2 อย่าง ระยะเวลาจากนี้ไปมีเวลาเพียงแค่ 80 กว่าวัน ต้องกล้าที่จะสละตำแหน่งนายกและหัวหน้า คสช. อย่าได้อธิบายว่าจะกระทำไม่ได้” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพรกล่าวต่อว่า ต้องถามหัวใจของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าท่านกลัวอะไร หรือกลัวประชาชนจะไม่เลือกท่าน วันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องร่วมหาทางออกให้กับชาติบ้านเมือง บังเรื่องของตัวเองให้เล็กลง และวันนี้ยังมีเวลาที่ท่านจะได้แสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน ตนในฐานะประธาน นปช.มีความปรารถนาให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าอย่างสันติสุข อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเริ่มต้นด้วยการเสียสละ และอย่าได้มองว่าการที่พรรคการเมืองไม่เข้าร่วมนั้นเป็นเพราะไม่ต้องการการเลือกตั้ง แต่ทุกพรรคต้องการการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม ไม่ใช่การเลือกตั้งที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบ
“การแข่งขันกีฬา อยากเป็นกรรมการก็อยากเป็น อยากเป็นผู้เล่นก็อยากเป็น แต่ไม่มีกีฬาที่ไหนในโลกที่ผู้เล่นจะเป็นกรรมการไปด้วยในตัว ยกเว้นการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมจึงขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ให้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” นายจตุพรกล่าว
