นอกจากการแข่งขันทางการเมืองที่น่าจะเข้มข้นขึ้นหลังการปลดล็อกแล้ว บ้านเรายังมีการแข่งขันประกวดนางงามเวทีระดับอินเตอร์ติดๆ กันด้วย
เริ่มจากเวทีมิสเวิลด์ของผู้จัดชาวอังกฤษ สาวไทยเพิ่งสร้างผลงานคว้าตำแหน่งรองอันดับหนึ่งได้เป็นครั้งแรก หลังส่งตัวแทนไปประกวดมาเกิน 30 ปียังไม่สำเร็จเมื่อเทียบกับเวทีมิสยูนิเวิร์สที่มีมาแล้ว 2 คน รองอันดับหนึ่ง 1 คน
การชิงชัยเที่ยวนี้นับว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุด น่าจะเพราะ นิโคลีน พิชาภา มีคุณสมบัติตรงกับสิ่งที่กองประกวดต้องการโดยเฉพาะโครงการด้านสังคม ทำให้
ตัวแทนสาวไทยออกจอโดดเด่นตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่เมื่อสาวเม็กซิโกได้ ก็ไม่ใช่เรื่องพลิกโผ เพราะในจำนวน 5 คนสุดท้ายนั้นจะให้ใครก็ดูเหมาะสมทั้งสิ้น เพียงแต่ถ้ามองย้อนผู้ชนะมงกุฎมิสเวิลด์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1957 ในแง่มุมการเมือง ไม่ปรากฏว่ามีตัวแทนจากประเทศที่เกิดรัฐประหาร
ที่เฉียดที่สุดคือ มิสเปรูที่ได้มงกุฎปี 1967 แล้วประเทศเกิดรัฐประหารในปี 1968
อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตนี้คงพิสูจน์ยืนยันชัดเจนไม่ได้ และกองประกวดของอังกฤษนั้นทิ้งระยะห่างจากไทยพอสมควร ถ้าเทียบกับเวทีมิสยูนิเวิร์ส
ปีนี้เมืองไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สอีกเป็นครั้งที่ 3 และจัดแบบปุบปับพอสมควร ด้วยเหตุผลการตกลงทางธุรกิจที่ดูวุ่นวาย ทั้งฝั่งอเมริกาและฝั่งไทย
บริษัท WME/IMG เจ้าของการประกวดที่ซื้อกิจการนี้มาจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยยังไม่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2557 ตกลงเลือกไทย หลังมีข่าวว่าไม่ลงตัวกับจีนและฟิลิปปินส์
ส่วนฝั่งไทยมีการเปลี่ยนมือจนมาลงเอยที่บริษัท ทีพีเอ็น 2018 ต้อนรับสาวงาม 94 ชาติ
แต่ที่แตกต่างออกไปคือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไม่อาจเข้าไปช่วยด้านงบประมาณ เพราะติดขัดข้อกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ ไม่อนุญาตให้นำงบกลางมาใช้แบบในอดีต สิ่งที่พอช่วยได้คือการอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พาเข้าไปเยือนทำเนียบ
จนถึงตอนนี้ กิจกรรมของเหล่าสาวงามก็ผ่านพ้นมาด้วยดี จนมีรอบประกวดชุดประจำชาติไปแล้ว ผู้บรรยายการประกวดพยายามสอดแทรกเกร็ดข้อมูลของการนำเสนอชุดของชาติต่างๆ ที่มีรายละเอียดด้านวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เช่น ประเพณีท้องถิ่น ตำนาน สัญลักษณ์ประจำชาติ ความเชื่อ ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอแนวคิดที่จับกระแสสถานการณ์โลก ซึ่งชุดสวยประณีตน้อยกว่าแต่ก็สะดุดตา อย่างชุดของสิงคโปร์ที่เกิดข้อวิจารณ์อื้ออึง เมื่อนำเสนอว่าประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสันติภาพระหว่างนายทรัมป์ กับ นายคิม จองอึนผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือในปีนี้
ส่วนชุดของสาวเยอรมัน ไม่ได้มาแนวดำแดงทอง สีธงชาติแบบทุกปี คราวนี้มาเป็นชุดราตรีสีขาว สื่อแนวทางสันติภาพที่ประเทศเลือกการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่อังกฤษ หรือสหราชอาณาจักร ชุดดูธรรมดามาก แต่ถือกล่องลงคะแนนเสียงมาด้วยเพื่อโปรโมตสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมือง เลยพาลให้นึกถึงประเด็นบัตรเลือกตั้งแบบไม่มีโลโก้พรรคขึ้นมาแว้บๆ
แถมสมมุติต่อไปว่า ถ้าเวลานางงามขึ้นเวทีประกวดแล้วไม่มีสายสะพายบอก
ชื่อประเทศ คงจะสับสนวุ่นวายพิลึกไปอีกแบบ
ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์