ไม่ว่าฤๅษีเกวาลันจากเทือกเขาหิมาลัย ไม่ว่าปัญญาชนสาธารณะผู้ชมชอบในการสวมเสื้อกั๊กมองตรงกันต่อผลจากการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562
นั่นก็คือ ชัยชนะจะเป็นของ “คสช.”
นั่นก็คือ ชัยชนะจากการประสานพลังระหว่าง 250 ส.ว.ตามรัฐธรรมนูญ กับอีก 126 ส.ส.ขึ้นจะทำให้การสืบทอดอำนาจของ คสช.ปรากฏเป็นจริง
นั่นก็คือ นายกรัฐมนตรีจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 100%
ความจริงหากมองผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หากมองผ่านจากการยื้อประกาศ และคำสั่งหัวหน้า คสช.โดยอิงกับอำนาจมาตรา 44 จากเดือนพฤษภาคม 2557 มายังเดือนธันวาคม 2561 ก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 เดือน
ก็มิได้เป็นเรื่องแปลกที่ว่า “ชัยชนะ” จะเป็นของใคร
แต่คำถามที่เสนอเข้ามาก็คือ ชัยชนะครั้งนี้จะเป็นชัยชนะอันมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นชัยชนะที่สร้างความชอบธรรมให้กับการสืบทอดอำนาจได้อย่างเป็นจริงเพียงใด
หากตรวจสอบท่าทีและการตัดสินใจของแต่ละพรรคการเมืองที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ เราสามารถแยกกลุ่มออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่
1 คือ พรรคฝ่าย คสช.
ทั้งเป็นพรรคที่ คสช.ก่อตั้งขึ้นเองอย่างเป็นการจำเพาะเช่นพรรคพลังประชารัฐ ทั้งเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นเพื่ออาสาตนเป็น “นั่งร้าน” ทางการเมืองให้
1 คือ พรรคที่ยังมิได้ตัดสินใจ แต่มีความโอนเอียง
เป็นความโอนเอียงไปทาง คสช. บนฐานความเชื่อมั่นว่า คสช.คือผู้ชนะและจะต้องได้เป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน
พรรคเหล่านี้แม้บอกว่าจะให้คำตอบจากผลการเลือกตั้ง แต่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าในที่สุดจะเป็นเช่นใด
ขณะเดียวกัน 1 คือพรรคที่ประกาศคัดค้าน ต่อต้าน กระบวนการสืบทอดอำนาจของ คสช.จากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อย่างเด่นชัด
นั่นคือ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อชาติ
พรรคการเมืองที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจอย่างจริงจังมิได้เป็นพรรคที่ 1 มิได้เป็นพรรคที่ 2 เพราะว่ามีความแจ่มชัดในจุดยืนและท่าทีอยู่แล้ว
พรรคที่อยู่ตรงกลางต่างหากมีความน่าสนใจ
น่าสนใจ 1 ถามว่าพรรคการเมืองเหล่านี้อ่านเจตนาและความต้องการของ คสช.และพรรค คสช.ออกหรือไม่
ตอบได้เลยว่า อ่านออก
อ่านออกว่าหากมีการสืบทอดอำนาจ นั่นหมายถึงการดำรงอำนาจในโครงสร้างแบบที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่นับแต่หลังรัฐประหารเมื่อปี 2557 เป็นต้นมา
จึงเสนออีก 1 คำถามว่า เมื่อรู้แล้วเหตุใดพรรคเหล่านี้จึงไม่ต่อสู้ แข็งขืน
ทั้งๆ ที่พรรคการเมืองเหล่านี้ประกาศตนเป็นฝ่าย “ประชาธิปไตย” ซึ่งควรจะเห็นว่าอำนาจของประชาชนต้องเป็นใหญ่ มิใช่อำนาจจากคณะบุคคลหรือคณะรัฐประหาร
การเห็นด้วยกับ “คสช.” จึงมิใช่เป็นการทำลายตนเองหรอกหรือ
การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงเป็นการเลือกตั้งที่สำคัญและทรงความหมายเป็นอย่างสูงต่ออนาคตของประเทศ
เพราะนี่มิได้เป็นการเลือกตั้งก่อนเดือนมกราคม 2544
ตรงกันข้าม เป็นการเลือกตั้งภายหลังจากประชาชนได้ลิ้มรสแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาแล้ว นั่นก็คือ ประชาชนได้รับรู้ว่า “ประชาธิปไตยกินได้” นั้นเป็นอย่างไร
เมื่อเทียบกับรากฐานแห่งอำนาจ “รัฐประหาร” มีความแตกต่างอย่างไรหรือไม่เพียงใด