เมื่อวันที่ 7 พ.ค. เวลาประมาณ 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD) ได้เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ต่อกรณีการตั้งข้อหาน.ส.พัฒน์นรีหรือหนึ่งนุช ชาญกิจ มีเนื้อหาดังนี้
แถลงการณ์กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยกรณีแม่จ่านิวต้องข้อหาคดีหมิ่นฯ
จากกรณีที่ศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติหมายจับ ตามคำขอของพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ให้จับกุมนางสาวพัฒน์นรี หรือหนึ่งนุช ชาญกิจ มารดาของนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “นิว” ในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ตลอดจนถึงการใช้ดุลพินิจไม่เห็นควรให้อนุญาตประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน เนื่องจากเป็นคดีสำคัญ อัตราโทษสูงเกรงว่าหากได้รับการประกันตัว ผู้ต้องหาอาจหลบหนี หรือยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เนื่องจากเฟซบุ๊กที่ใช้ในการกระทำผิดยังเปิดใช้งานอยู่
อันปรากฎต่อมาว่าเป็นการใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนโดยหารือกับฝ่ายความมั่นคง
กรณีดังนี้ ทางกลุ่มมีความกังวลต่อปัญหาการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือกำจัด กลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวคัดค้านคสช. ที่จะมีต่อไปในอนาคต จะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ใช้อำนาจดุลพินิจโดยมิชอบตั้งแต่จากต้นทางของกระบวนการยุติธรรม คือในชั้นพนักงานสอบสวน ทำสำนวนส่งความเห็นที่ไม่มีน้ำหนักที่วิญญูชนคนทั่วไปจะยอมรับได้ และถูกอ้างถึงความรุนแรงของอัตราโทษเป็นเหตุผลหนึ่งในการคัดค้านการประกัน โดยไม่คำนึงถึงพฤติการณ์และความจำเป็น รวมถึงภาระทางครอบครัว ฐานะของผู้ต้องหา ที่โดยพฤติการณ์แล้วยากที่จะหลบหนี หรือแม้จะหลบหนีก็ยากที่จะรอดพ้นจากการถูกติดตามตัว
การดำเนินคดีเช่นนี้เพื่อนำไปสู่การจำกัดเสรีภาพ คุกคามการเคลื่อนไหวของประชาชนนั้น แม้กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลจะสามารถอำนวยความยุติธรรมให้ได้ในท้ายที่สุด แต่สิ่งที่ต้องสูญเสียไปในระหว่างการถูกดำเนินคดี ทั้งรายได้ในการทำงาน เวลาที่จะได้ใช้กับสมาชิกในครอบครัวและความเสียหายทางจิตใจของคนรอบข้าง ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจได้รับการชดเชยอย่างเหมาะสมจากอำนาจรัฐปัจจุบัน
นอกจากในแง่ความเสียหายต่อผู้ต้องขังแล้ว
การที่สังคมยอมรับกับการใช้ดุลพินิจ ของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทาง เทคโนโลยี ที่อาศัยเพียงการไม่ตำหนิต่อว่า และการใช้ถ้อยคำที่ตีความได้หลายนัย อย่างคำว่า “จ้า” มาประกอบพฤติการณ์ว่าเป็นการ”ยอมรับ” และเป็นการร่วมโพสข้อความหมิ่นฯโดยขาดความชัดเจนเพียงพอว่า บริบทของการพิมพ์คำว่า “จ้า” แสดงถึงการยอมรับเพราะเหตุใด
ทั้งนี้เพราะบุคคลทั่วไป ที่ใช้ช่องทางการสื่อสารในโซเชียลมีเดีย อาจมีเหตุผลความจำเป็นมากมาย ที่ จะตัดสินใจเลือกพิมพ์คำว่า”จ้า” เป็นต้นว่าไม่มีเวลามาพิมพ์ต่อว่ายาวๆหลายตัวอักษร หรืออาจมุ่งจะตัดจบการสนทนา หรือกระทั่งเป็นการพิมพ์ตอบกลับโดยที่ไม่ได้แม้แต่ อ่านเนื้อหา ถ้อยคำที่ถูกส่งมาจนครบถ้วน ซึ่งเป็นพฤติกรรมของผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่อาจเกิดขึ้นได้ทั่วไปแต่การใช้ มาตรวัดของบุคคลากรในหน่วยงานพิเศษด้าน”อาชญากรรมทางเทคโนโลยี” จนนำมาสู่เนื้อหาในสำนวนจากการสอบสวน ที่ไร้น้ำหนักเช่นนี้ย่อมอาจเป็นบรรทัดฐานแนวทางในอนาคต ที่อำนาจรัฐก็ดี เอกชน ประชาชนทั่วไปก็ดี จะนำวิธีการเหล่านี้มาใช้ เพื่อกลั่นแกล้ง หรือ จำกัดการเคลื่อนไหวของผู้อื่น โดยอาศัยกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ
ท้ายที่สุดแล้ว นี่จะเป็นเพียงสิ่งบ่อนทำลายความไว้วางใจของประชาชนและประชาคมระหว่างประเทศ ต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย
สุดท้ายนี้ ทางกลุ่ม จึงขอเรียกร้องให้ พนักงานสอบสวน และ ศาลทหาร ได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาโดยเป็นธรรม ในการให้ประกันตัวในชั้นสอบสวนโดยเร็วที่สุด ตลอดจนดำเนินกระบวนพิจารณาต่อจากนี้ไปด้วยความเป็นธรรม คำนึงถึงหลักการแห่งกฎหมายที่มีความชอบธรรมในระบอบนิติรัฐประชาธิปไตย สิทธิขั้นพื้นฐาน และสิทธิมนุษยชน หาใช่แต่ยึดเพียงคำสั่งของอำนาจรัฐที่ขาดความชอบธรรมจากประชาชน
ด้วยจิตคารวะ
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย