รู้สึกหรือไม่ว่า ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของ พรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่า การเคลื่อนไหวของพรรครวมพลังประชาชาติไทย เหมือนกับจะบัง เกิดการสะดุดหยุดลง
หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมา “เตือน” ในเรื่องการอ้างถึง “นาม”
นามของ “หัวหน้าคสช.” นามของ “หัวหน้ารัฐบาล”
จุดแบ่งอย่างสำคัญก็คือ หากไม่มีการขานรับหรือยินยอมให้นำ “นาม” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปอยู่ในสถานะเป็น 1 ในรายชื่อที่จะเสนอเป็น “นายกรัฐมนตรี”
การเอ่ยนามของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อาจจะกลายเป็นปัญหาในข้อกฎหมาย
ตราบใดที่ยังไม่ชัด ตราบนั้นก็ย่อมอ้างไม่ได้
ผลที่ตามมาก็คือ คำประกาศบนเวทีของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ว่าหากต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ
อาจกลายเป็น “ประเด็น” ในทางการเมือง
เพราะเท่ากับเป็นการประกาศก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยินยอมให้นำ “นาม” ของตนเองไปบรรจุไว้ในข้อเสนอให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
ยิ่งกว่านั้น ภาวะติดขัดมิได้อยู่เพียง “นาม” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น
หากยังสัมพันธ์กับ “โครงการของรัฐ” อีกด้วย
แม้กระทั่งคำประกาศของพรรคการเมืองที่ว่าจะสืบทอดนโย บายอันเป็น “โครงการของรัฐ” ก็อาจเป็นปัญหาในเรื่องของข้อกฎ หมาย เพราะเท่ากับเป็นการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น
เท่ากับเป็นการเคลมหรือดึงเอา “โครงการของรัฐ” มาเป็นของพรรคตน
กลายเป็น “ปัญหา” ของพรรคตระกูล “พลัง” โดยอัตโนมัติ
จุดแข็งที่นำเอานโยบาย “ประชารัฐ” มาตั้งเป็นชื่อ “พรรคพลังประชารัฐ” ก็พลันกลับกลาย
จุดแข็งที่คิดจะชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นเรื่อง
ปัจจัยอันเนื่องมาแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลจึงแปร “จุดแข็ง” ของพรรคพลังประชารัฐ พรรครวม พลังประชาชาติไทยให้กลายเป็นปัญหา
บังเกิดอาการยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกักถ้วนหน้า
