ทั้งๆที่ข่าวการจะรื้อฟื้นคดีการร่วมลงมติบริหารจัดการน้ำและการจ่ายเงินเยียวยาผู้ชุมนุมต่อ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นเรื่องอันสัมพันธ์กับป.ป.ช.
ทั้งๆที่ข่าวจะ”เลื่อน”การเลือกตั้งออกไปจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เป็นเรื่องอันสัมพันธ์กับกกต.
มิได้เป็นเรื่องของคสช. มิได้เป็นเรื่องของรัฐบาลโดยตรง
แต่พลันที่ปรากฏข่าวขึ้นมา เหตุใดทุกสายตาจึงจ้องมองไปยังคสช. จ้องมองไปยังรัฐบาล
และก็ส่งผลสะเทือนไปยังพรรคเครือข่ายคสช.
ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็นพรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือแม้กระทั่งพรรคประชาชนปฏิรูป
ทำไมจึงเกิดความเข้าใจเช่นนั้นได้
ความหมายมิได้อยู่ที่ว่ากรรมการป.ป.ช.บางคนมีความสัมพันธ์กับคนในคสช. ความหมายมิได้อยู่ที่ว่ากรรมการกกต.เกิดขึ้นภายใต้
โครงครอบแห่ง”แม่น้ำ 5 สาย”
หากแต่อยู่ที่สถานะอันแปรเปลี่ยนไปเป็นลำดับของคสช.และ ของรัฐบาล
นั่นก็คือ มิได้ดำรงอยู่ในสถานะของ “กรรมการ”
ความจริง บทสรุปเช่นนี้เคยดังขึ้นอย่างอึกทึกไม่เพียงแต่เมื่อ มีการผลักดันโครงการปรองดองสมานฉันท์อย่างอึกทึกเมื่อตอนต้นปี 2560
ความจริง บทสรุปเช่นนี้เคยดังขึ้นทุกครั้งเมื่อมีข่าวอื้อฉาวไม่ว่าจะเป็นอุทยานราชภักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาหรู ว่าหากไม่จัดตั้ง
“กรรมการอิสระ”จะไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคม
เหตุผลก็คือ คสช.หรือรัฐบาลมิได้อยู่ในสถานะอันเป็นกรรมการ หรือ “คนกลาง”
หากแต่อยู่ในฐานะผู้ได้ ผู้เสีย หรือเป็นตัวเล่นเสียเอง
เมื่อคสช.และรัฐบาลกลายเป็น”ผู้เล่น”กระทั่งอยู่ในฐานะจัดตั้งพรรคการเมืองเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง
คนของรัฐบาลไปเป็น “หัวหน้าพรรค”
กกต.ก็ยินยอมให้จดแจ้งชื่อพรรคอันเป็นความต่อเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาล เรื่องราวระหว่างคสช. รัฐบาลและพรรคการเมืองก็นัวเนียยากที่จะแยกออกได้
เมื่อคสช. รัฐบาล ขยับ พรรคเครือข่ายก็จำเป็นต้องเขยื้อน