คนอยากเลือกตั้ง : วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อกำหนดการตามที่รัฐบาลสัญญาว่าจะมีการเลือกตั้ง แม้จะกล่าวเพียงแต่ว่าอย่างเร็วที่สุดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีนี้ ซึ่งขณะนี้เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เมื่อนำเอาหมายกำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกซึ่งมีความสำคัญมากางเทียบกับกำหนดการเลือกตั้งทั่วไป และได้ยินมาว่าน่าจะเป็นวันที่ 10 หรือ 17 หรือ 24 หากจะต้องกำหนดก็เดาไว้ว่าน่าจะเป็นวันอาทิตย์ตามประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมา

แม้ว่าการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ก็มิใช่การเลื่อนการเลือกตั้ง เพราะรัฐบาลยังไม่เคยกำหนดให้วันที่ 24 กุมภาพันธ์เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป การจะกำหนดเป็นวันที่ 10 หรือ 17 หรือ 24 มีนาคม จึงไม่ใช่เลื่อนกำหนดการออกไป แต่เป็นการกำหนดวันเลือกตั้งที่จะมาถึงที่มีความคลุมเครือว่าจะเป็นวันใด

ความคลุมเครือจะมีอยู่ทั่วไป เมื่อรัฐบาลยังไม่ได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งยังไม่ได้ส่งหนังสือกำหนดวันเลือกตั้งมาให้รัฐบาล

เมื่อยังไม่มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งว่าจะเป็นวันไหน ความรู้สึกไม่แน่นอนก็เกิดขึ้นทันที ในวงการสนทนา หรือในสภากาแฟตอนเช้าๆ ของชาวใต้และในเขตเมือง ก็หนีไม่พ้นประเด็นที่ถามกันว่า “จะมีเลือกตั้งไหม” ถ้ามีจะมีวันไหน เพราะที่เคยคาดว่าจะมีประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ในวันที่ 2 มกราคม 2562 เวลาก็ล่วงเลยมากว่า 2 สัปดาห์แล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการประกาศกำหนดวันเลือกตั้งในราชกิจจานุเบกษา

การที่ผู้คนเกิดความกังขาว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ 10 หรือ 17 หรือแม้แต่วันที่ 24 มีนาคม จะกลายเป็นประเด็นทางการเมืองได้ ถ้าหากมีใครจุดพลุชุมนุมกันเรียกร้องให้ประกาศวันเลือกตั้ง การชุมนุมแม้จะมีผู้คนจำนวนไม่มากในระยะแรก แต่ถ้าทำไปเรื่อยๆ หลายครั้งก็อาจจะจุดติดเป็นกระแสได้

ADVERTISMENT

การเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วนั้น เป็นการเรียกร้องที่มีความชอบธรรมด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน ประการแรก วันเลือกตั้งที่คณะรัฐประหารหรือคณะปฏิวัติได้ให้สัญญาไว้ในแผนที่จะดำเนินไปสู่ระบอบประชาธิปไตย หรือที่หัวหน้า คสช. ชอบใช้ภาษาฝรั่งว่า roadmap นั่นเอง

ขณะเดียวกันการตระเตรียมกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งก็ยังไม่มี ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรีกับทางสื่อมวลชน

สื่อมวลชนแม้ว่าดูผิวเผินจะมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและการแสดงออก แต่สื่อมวลชนทุกสำนักก็ต้องควบคุมตัวเองในการแสดงออก เมื่อมีการอนุญาตให้มีการจัดตั้งพรรค ก็มีพรรคการเมืองหลายพรรคที่แสดงออกอย่างแจ้งชัดว่า เป็นพรรคที่จะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนเดิมซึ่งเคยฉีกรัฐธรรมนูญ ยึดอำนาจจากประชาชนแล้วขึ้นสู่อำนาจ ถือครองอำนาจเป็นเวลายาวนานกว่าหัวหน้าคณะรัฐประหารคนใดๆ โดยไม่สนใจว่าตนได้เคยให้คำมั่นสัญญากับประชาชนและชาวโลกไว้อย่างไร

ที่เคยไปประกาศไว้ที่สมัชชาสหประชาชาติ ที่เคยสัญญาไว้กับผู้นำประเทศต่างๆ ในยุโรปและอเมริกา ว่าจะเดินตามสัญญาที่ให้ไว้ในเส้นทางสู่ประชาธิปไตยหรือ roadmap อย่างเคร่งครัด ก็เป็นอันไม่เป็นไปตามนั้น

ความกังวลว่าอาจจะไม่มีการเลือกตั้งภายในปี 2562 ก็เป็นความกังวลที่มีเหตุผล ตราบใดที่ กกต.ยังไม่ส่งกำหนดการมาให้รัฐบาลประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งให้เป็นที่แน่นอน

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการเอารัดเอาเปรียบกันในการหาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณี 4 อดีตรัฐมนตรีที่ถูกดูดเข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ หรือกรณีสั่ง อบจ.พะเยาให้ยกเลิกการใช้สถานที่จัดชุมนุมเพื่อทำการหาเสียงของพรรคการเมืองหนึ่ง ในขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนนายกรัฐมนตรีกลับได้รับอนุญาตให้จัดกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างเสรี

ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือ สถานการณ์ในต่างจังหวัดที่ห่างไกลปืนเที่ยง เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าตรวจค้นบ้านพักของฝ่ายตรงกันข้าม มีการตั้งข้อหา สร้างความสะพรึงกลัวให้กับประชาชน เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเป็นการสร้างข่าวลือก็ได้ เพราะยังไม่มีผู้ใดแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าตนถูกคุกคาม แต่ก็น่าสนใจ ควรจะมีการตรวจสอบเพื่อความกระจ่าง

เมื่อมีข่าวว่าพรรคพลังประชารัฐที่ประกาศสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย เมื่อรวมกับที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 5 ปี ก็เป็น 9 ปี นานยิ่งกว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็ไม่ปฏิเสธว่าจะไม่รับการเสนอชื่อโดยพรรคการเมือง ไม่ปฏิเสธว่าจะไม่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก หลีกเลี่ยงเงื่อนไขข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ

แม้จะมีการขอจัดตั้งพรรคการเมืองจำนวนมาก แต่ในที่สุดก็จะเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองที่ปฏิเสธระบอบเผด็จการทหารและต้องการประชาธิปไตย กับพรรคการเมืองฝ่ายที่สนับสนุนระบอบเผด็จการและต้องการให้นายกรัฐมนตรีคนเดิมกลับมาดำรงตำแหน่งอีกต่อไป แต่ต้องแตกออกเป็นพรรคย่อยๆ เพื่อจำนวน ส.ส. จะได้ไม่ติดเพดานเมื่อรวมกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

สำหรับฝ่ายที่สนับสนุนระบอบเผด็จการทหารและไม่ปฏิเสธการกลับมาดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีคนเดิม ก็จะไม่กระตือรือร้นว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งถูกใจรัฐบาลเผด็จการปัจจุบัน

ส่วนประชาชนที่ต้องการประเทศชาติกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตย กลับไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีความเชื่อว่าสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยตกต่ำซบเซา ที่ราคาข้าว ราคายาง ราคาอ้อยและน้ำตาล ตกต่ำอย่างหนักในขณะนี้ เกิดจากการที่ต่างประเทศไม่ว่ายุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ต่างก็ไม่ยอมรับหัวหน้ารัฐบาลเผด็จการทหารที่จะเดินทางมาทำการเจรจาการค้าด้วย มาตรการกีดกันการค้าของเขาสามารถทำได้เพียงฝ่ายเดียว โดยที่เราไม่มีโอกาสได้ชี้แจงทำความเข้าใจ เป็นเหตุให้อัตราการขยายตัวทางการส่งออกของเราขยายตัวในอัตราที่ลดลงมากกว่าของประเทศอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งกับประเทศไทย

การลงทุนจากประเทศตะวันตก รวมทั้งญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ก็ลดลง ญี่ปุ่นไม่กล้าลงทุนขยายโรงงานในประเทศไทย เพราะเกรงว่าจะไม่มีตลาดส่งออกหากผลิตและส่งออกจากประเทศที่ปกครองโดยเผด็จการทหารอย่างประเทศไทย

การมีรัฐบาลเผด็จการทหารจึงมี “ค่าเสียโอกาส” จำนวนมหาศาล แต่การวัด “ค่าเสียโอกาส” หรือ “opportunity cost” เป็นสิ่งที่วัดได้ยาก มีข้อโต้เถียงมาก เพราะเป็นการวัดของที่สมควรเกิดขึ้นแต่ไม่เกิดขึ้น เราจึงไม่สู้จะมีความรู้สึกถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจและทางการเมืองมากนัก

การอ้างว่าเพื่อความปรองดองของคนในชาติ เพราะเกิดความแตกแยกในหมู่คนไทยจนสุดจะเยียวยา ก็ไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะความแตกแยกที่กล่าวอ้างนั้น ไม่ใช่ความแตกแยกทางเชื้อชาติหรือศาสนาเช่นในประเทศเพื่อนบ้านของเราบางประเทศ หรือความแตกต่างทางเศรษฐกิจที่ถึงแม้จะมีอยู่จริงก็ไม่มีปัญหา ที่สำคัญชาติไทยเป็นชาติที่รู้จักประสานประโยชน์ รู้จักประนีประนอมและไม่รังเกียจคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและในที่สุดก็กลายเป็นคนไทยทั้งหมด

จะมีบางครั้งที่มีผู้สร้างกระแสความคิดทางการเมืองเพียงชั่ววูบ ชั่วคราว เมื่อดำเนินการตามกลไกในระบอบประชาธิปไตยความแตกแยกก็จะหายไป สันติสุขก็จะกลับมาตามเดิม ถ้าไม่มีการใช้กำลังเข้าข่มขู่รังแกกันซึ่งเป็นต้นเหตุ ข่าวที่เราได้รับจึงมักจะเป็นข่าวจากปลายเหตุ ยกเว้นปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้

ระบอบการปกครองแบบปิดอย่างที่เป็นอยู่ เป็นระบอบที่บ่มเพาะการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ซึ่งต่างจากการปกครองระบอบประชาธิปไตย คนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน ความคิดดังกล่าวเป็นพื้นฐานของนักประชาธิปไตย ซึ่งแตกต่างกับความคิดพื้นฐานของนักเผด็จการที่มองคนที่มีความเห็นแตกต่างกันเป็นศัตรู จนต้องมีการเตือนจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่า อย่ามองผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างเป็นศัตรู ให้มองคนที่มองแตกต่างเป็นมิตร

อย่ามองคนที่แสดงออกว่าอยากเลือกตั้งเป็นศัตรู แม้ว่าการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมจะเป็นศัตรูกับระบอบเผด็จการก็ตาม

ข้างหน้าจะมีคนออกมาแสดงตนเป็นคนอยากเลือกตั้งมากขึ้น ให้ถือว่าเป็นของธรรมดา