ไม่ว่าการเข้าพบ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ณ ตึกบัญชาการ ทำ เนียบรัฐบาล ของ นายอุตตม สาวนายน กับ นายสนธิรัตน์ สนธิจิร วงศ์ จะด้วยเป้าประสงค์อะไร
แต่สะท้อนถึง”ไฟท์บังคับ”อันร้อนรนยิ่งในทางการเมือง
การสนทนาเกือบ 1 ชั่วโมงเต็มอาจปรากฏผ่านถ้อยแถลงอัน เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน
“คงมาเยี่ยมไข้คนป่วย” อันเป็นกระบวนท่าแบบ”จอมยุทธ์”
กระนั้น บทสรุปที่ตรงกันก็คือ 1 เรื่องการอยู่หรือไม่อยู่ในครม.ของ 4 รัฐมนตรี และ 1 เรื่องการทาบทาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปอยู่ในรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อเป็นเรื่อง”การเมือง”และอยู่ในเวลา”ราชการ”จึงต้องอาศัยอารมณ์ขันในแบบ”จอมยุทธ์”เป็นหนทางออก
จากความจัดเจนทางการเมืองระดับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ย่อมอ่านเกมทะลุทะลวงว่า สถานการณ์หลัง”พระราชกฤษฎีกา” 4 รัฐมนตรีต้องกลายเป็นตำบลกระสุนตกแน่นอน
เสียงเร่งเร้าให้พิจารณาลาออกจะเกิดขึ้นอย่างเร่งเร้าทั่วทั้งสังคม
ไม่ว่าจะจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะจากพรรคเพื่อไทย
แม้รัฐธรรมนูญที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ รับหน้าเสื่อในการยกร่าง จะยังดำรงสถานะของรัฐบาลอย่างชนิดเต็มร้อยมิใช่”รักษาการ”อำ นาจของรัฐมนตรียังมีอย่างเต็มเปี่ยม
แต่การเมืองคือความละเอียดอ่อนและความอ่อนไหว เพราะเท่ากับเป็นการปะทะระหว่าง 2 พลังอันแหลมคม
1 กฎหมาย และ 1 จริยธรรม
จริยธรรมนั่นแหละจะกระทุ้งจิตสำนึกของ”รัฐมนตรี”อย่างหนักหน่วงและรุนแรงยิ่งกว่าการกดบีบจากพรรคการเมืองด้วยซ้ำไป
และเรื่องนี้จะกลายเป็น”แคนนอน”ในทาง”การเมือง”
เหมือนกับสังคมจะกดดันเฉพาะ 4 รัฐมนตรีอันถือว่าเป็น 4 ยอดกุมารแห่งพรรคพลังประชารัฐ
แต่ความจริงจะสะเทือนไปถึง”หัวแถว”
เพราะว่า “นายกรัฐมนตรี”ในความหมายทางรัฐศาสตร์ คือรัฐมนตรีอันดับ 1 เมื่อเป็นอันดับ 1 สำนึกในเชิงจริยธรรมจำเป็นต้องเหนือกว่ารัฐมนตรีอื่น
เนื่องจากตรงนี้เป็นเรื่องของ”ธรรมาภิบาล”ของ”คนดี”