ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
30 มกราคม วันเดียวกันกับที่ค่าฝุ่นมลพิษในกรุงเทพมหานครพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
จนกระทั่งราชการต้องสั่งปิดโรงเรียนทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 5 จังหวัด
มีการจัดงานอีเวนต์และสัมมนาใหญ่ 2 เรื่องพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
งานแรกคือ มหกรรมสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เซ็นทรัลเวิลด์
ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เดินทางไปเป็นประธานเปิดงาน
อีกงานหนึ่ง เครือมติชนจัดสัมมนา “เลือกตั้ง 62 จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยเชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาให้ข้อมูล-ข้อคิด
ประกอบด้วย นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาการเมืองระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหารธนาคารเกียรตินาคินฯ
และนายอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Blognone
โดยมิได้นัดหมาย
ผู้ร่วมเสวนาทั้ง 5 แสดงความเป็นห่วงในเรื่องเดียวกันนั่นคือ “อำนาจ” และการใช้อำนาจของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน
นายสุรชาติกล่าวว่า ถ้าถามว่าตนห่วงอะไร ต้องบอกว่าห่วง คสช.แพ้
เพราะตนอยากเห็น พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯภายใต้เงื่อนไขยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และรัฐธรรมนูญที่เป็นสถาปัตยกรรมชุดใหญ่ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์
ถึงตอนนั้นจะไม่มีมาตรา 44 แต่ควรหาแพทย์พระมงกุฎฯ เตรียมยา 3 ขนาน คือ ยาบำรุงหัวใจ ยาบำรุงประสาท
และยากล่อมประสาทให้นอนหลับ
เพราะไม่เคยมีทหารที่ไหนควบคุมสภาหลังการเลือกตั้งได้
นายอิสริยะกล่าวว่า ตนเชื่อว่าผลการเลือกตั้งมี 2 ทาง
แต่ตอนนี้อารมณ์มวลชนไม่เอา คสช. ถ้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ ตนนึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร
ส่วนอีกทางคือหากพรรคที่ไม่ใช่ พปชร.ชนะ
ในวันรุ่งขึ้นจะมีภาพ พล.อ.ประยุทธ์ถือกล่องเก็บของกลับบ้านหรือไม่?
นายบรรยงกล่าวว่า รายละเอียดของแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน
อาจเป็นเพราะ ผู้มีอำนาจอาจจะยังไม่รู้ว่าในปัจจุบันนี้จะเขียนอย่างไร หรืออาจดึงเอาไว้ก่อน ดูว่าใครจะเป็นรัฐบาล แล้วค่อยเขียนแบบละเอียดยิบหรือหลวมๆ
“กฎหมายที่เขียนมามีแต่คำสวยหรู เช่น เขียนว่าให้ร่วมกันขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ถ้าความเหลื่อมล้ำ แก้ไขได้โดยการเขียนกฎหมาย โลกนี้คงไม่มีความเหลื่อมล้ำแล้ว
แต่ที่ขัดแย้งกันอย่างที่สุดก็คือ แผนยุทธศาสตร์ที่ควรจะต้องยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้
เอาไปเขียนเป็นกฎหมายที่บังคับตายตัว ให้ทุกคนต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
และที่แย่ที่สุด ก็คือการขยายขนาดของรัฐ
ซึ่งหลังจากปี 2540 เป็นต้นมา เราขยายรัฐขึ้นมาแล้วหลายเท่า
ขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 15”
นายปริญญากล่าวว่า การเมืองไทยภายหลังการเลือกตั้ง มีแนวโน้มจะแยกเป็นสามก๊ก
คือพลังประชารัฐและพรรคการเมืองที่สนับสนุนทหารก๊กหนึ่ง
เพื่อไทยและกลุ่มที่ไม่เอาทหารอีกก๊กหนึ่ง
ประชาธิปัตย์ที่แทงกั๊กอีกก๊กหนึ่ง
โดยโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างสง่างามนั้นมีอยู่ทางเดียว คือพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งเข้ามาเป็นที่หนึ่ง
ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้น การเมืองภายหลังการเลือกตั้งควรจะต้องออกมาแบบประนีประนอม ให้เสียงของประชาชนมีความหมายจริงๆ
ทำให้กองทัพเห็นว่า ประชาชนสามารถดูแลปกครองตัวเองได้ เพื่อตัดเงื่อนไขที่กองทัพจะเข้ามามีบทบาททางการเมือง
สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์เองนั้น ทางออกที่สวยที่สุด
คือการถอยออกจากการเมือง กลับไปเป็นกรรมการกลาง
ฟังคลับคล้ายว่าผู้อภิปรายส่วนใหญ่ ยืนตรงข้ามกับทหาร ยืนตรงข้ามกับ พล.อ.ประยุทธ์
แต่หากลงไปดูเนื้อในรายละเอียด ด้วยใจอันแยบคายหรือ “โยนิโสมนสิการ”
ดังที่คำโบราณบอกไว้ว่า ผู้ชี้จุดอ่อน เท่ากับชี้ขุมทรัพย์ให้
อภิปรายที่ตั้งอยู่บน “ความจริง” ครั้งนี้มีคุณยิ่ง