จัดทัพใหญ่‘ชทพ.’สู้เลือกตั้ง ไม่หวั่นศึกชนช้างเมืองสุพรรณ

ภาพ “เฮียจอง” จองชัย เที่ยงธรรม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นักการเมืองรุ่นเก่าแห่งเมืองสุพรรณ สวมเสื้อพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ปรากฏขึ้น

นั่นก็เท่ากับว่า สนามเลือกตั้งสุพรรณบุรีหนนี้จะสนุก เพราะพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เจ้าของฐานที่มั่น โดยมีอดีตแกนนำคนสำคัญย้ายค่ายมาประกาศทำศึกด้วย

โดยเฉพาะในพื้นที่เขต 3 สามชุก ศรีประจันต์ บางส่วนของอำเภออู่ทอง และของอำเภอดอนเจดีย์ ที่นายจองชัยประกาศทำศึกกับ “เฮียเม้ง” ประภัตร โพธสุธน เลขาธิการ ชทพ.

เพราะไม่พอใจกรณีที่มีชื่อ “กำนันโอ๋” ยุทธนา โพธสุธน หลานชายนายประภัตร สวมเสื้อพรรคพลังประชารัฐ มาทำศึกกินแดนเข้ามาแข่งในเขต 4 กับลูกชายคือ “เสี่ยป๊อป” นายเสมอกัน เที่ยงธรรม ที่สวมเสื้อ ชทพ.อยู่ โดยที่ไม่มีการห้ามจาก “คุณอา” ทั้งๆ ที่เป็นถึงเลขาธิการ ชทพ.อยู่

Advertisement

“สุพรรณบุรี มี 4 เขต ซึ่งเป็นที่ยอมรับอยู่ 4 ตระกูล 1.ศิลปอาชา 2.ประเสริฐสุวรรณ 3.โพธสุธน และ 4.เที่ยงธรรม แต่ปรากฏว่า เขต 4 โพธสุธน ไปหาเสียง ผมก็ท้วงติงไปว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังเฉยเมย ผมก็รอไม่ได้ เพราะลูกผมมีคู่แข่ง คือตระกูลโพธสุธน ผมจึงมาสมัครพรรคภูมิใจไทยประกาศลงสมัครในเขต 3 เพราะถ้าเขต 4 มีโพธสุธน เขต 3 ก็ต้องมีเที่ยงธรรมคู่ขนานกันไปเพื่อตัดกำลังโพธสุธน” นายจองชัยระบุ

จุดปะทุนี้ จึงกลายเป็นศึก “ช้างชนช้าง” ระหว่าง “เที่ยงธรรม” กับ “โพธสุธน” 2 ตระกูลการเมืองที่จัดได้ว่า เป็นคนสนิทเคียงคู่กับนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับทั้งคู่

แม้ว่าที่ผ่านมาจะปรากฏความพยายามในการไกล่เกลี่ยจาก 2 พี่น้องศิลปอาชา แต่เมื่อข้อเสนอของนายจองชัยที่ “หนูนา” กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้า ชทพ. บอกว่าให้ไม่ได้ ก็ต้องยอมรับว่ายังไงศึกนี้ก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน

Advertisement

“นับจากวันนี้จะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว จากนี้ไปก็ว่ากันในสนามเลือกตั้ง” หน.ชทพ.ระบุ

แน่นอนว่า นอกจากจะมี “มวยรุ่นใหญ่” ให้ดูในเขต 3 แล้ว หากในเขต 4 ด่านช้าง เดิมบางนางบวช หนองหญ้าไซ และบางส่วนของดอนเจดีย์ ถ้านายยุทธนา โพธสุธน หลานชายนายประภัตร ไม่ถอยก็จะมี “มวยเด็ก” รุ่นเล็กของ 2 ตระกูลใหญ่ให้ดูอีก 1 เขต

แถมในเขต 4 สุพรรณบุรี ยังมีตัวสอดแทรกจากพรรคใหญ่ พรรคเพื่อไทยด้วย

นั่นคือ นายสหรัฐ กุลศรี ที่เคยทำพื้นที่ในเขตนี้จนสามารถเจาะฐานที่มั่นของ “ตระกูลเที่ยงธรรม” ได้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่สามารถเอาชนะ นางมุกดา เที่ยงธรรม ภรรยาของนายจองชัยได้เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยคนแรกที่สามารถปักธงฐานที่มั่นสำคัญของ ชทพ.ได้สำเร็จ

อาจจะเพราะเหตุนี้ นายจองชัยที่หมายมั่นทวงพื้นที่คืนให้กับ “ตระกูลเที่ยงธรรม” โดยเฉพาะลูกชายคนโต นายเสมอกัน เที่ยงธรรม ที่ถือเป็นการลงสนามครั้งแรก หลังพ้นโทษถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรค จากกรณียุบพรรคชาติไทยในปี 2551 จึงโกรธตระกูลโพธสุธน

เพราะการที่หลานนายประภัตรมาลง อาจจะเป็นการตัดแต้มกันเองในเขต 4 และอาจส่งผลดีต่อ นายสหรัฐ กุลศรี จากพรรคเพื่อไทย ที่อาจจะเบียดแทรกกลางขึ้นมาเป็น ผู้ชนะอีกครั้งก็เป็นได้

ล่าสุด ในงานปฐมนิเทศผู้สมัครก็ได้มีการพูดถึงสถานการณ์ในพื้นที่เขต 4 ระหว่าง นายประภัตร กับ นายจองชัย ด้วย ส่วนอีก 2 เขตถือแบเบอร์ไร้ปัญหา เขตเมือง ส่ง “เสี่ยยอชต์” สรชัด สุจิตต์ เหลนคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา อดีต ส.ส.เจ้าของพื้นที่ลงชิงชัย เช่นเดียวกับอีกเขต ลูกชาย “หมอบุญเอื้อ” นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ที่เคยโบกมือลาไปซบพรรคเพื่อไทย หลังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ก็กลับมาสวมเสื้อ ชทพ.ชิงชัยในพื้นที่เดิมแล้ว

นอกจากฐานที่มั่นสุพรรณบุรีแล้ว ชทพ.ยังได้ตระกูลสะสมทรัพย์ “บ้านใหญ่” จาก จ.นครปฐม เข้ามาแบบยกทีม รวมไปถึงทีมงานของ “เฮียม้อ” นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ จากจังหวัดสมุครสาคร เข้ามาทดแทน หลังจากการไปของ “ตระกูลปริศนานันทกุล” ทีมอ่างทอง

สำหรับในระดับประเทศเป็นที่แน่นอนแล้วว่า การเลือกตั้งคราวนี้ ชทพ.จะส่งผู้สมัครในระบบเขตเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรค ถึง 320 คน เพื่อมาเก็บคะแนนเพิ่มโอกาสใน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

เว้นไว้ใน 7 จังหวัดที่ไม่มีการส่งผู้สมัครเลย ประกอบด้วย จ.สระแก้ว จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.พะเยา จ.แพร่ จ.นครนายก จ.อ่างทอง จ.อุทัยธานี รวมไปถึงในพื้นที่เขต 1 ของ จ.ศรีสะเกษ ด้วย

ขณะที่ ระบบปาร์ตี้ลิสต์ ชทพ.จัดไว้ในบัญชี 80 คน แน่นอน “เสี่ยท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา ถูกจัดไว้ในอันดับ 1 โดยมีแกนนำของพรรคถูกจัดไว้ใน 10 อันดับแรก

ไล่เรียงอันดับมาตั้งแต่ 2.นายธีระ วงศ์สมุทร 3.นายนิกร จำนง 4.นายนพดล มาตรศรี 5.นายนิติวัฒน์ จันทร์สว่าง 6.นายสมนึก สกุลรัตนกุลชัย 7.น.ส.ทัศลักษณ์ ปัตตพงศ์ภัช 8.พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน 9.นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ 10.นายเสน่ห์ ขาวโต

และก็แน่นอนอีกเช่นกันว่า “หนูนา” กัญจนา ศิลปอาชา จะเป็นหนึ่งเดียวในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของ ชทพ.

ท่ามกลางกระแสเอาไม่เอา คสช.นั้น น.ส. กัญจนาบอกแล้วว่า ชทพ.จะขอแข่งที่นโยบายเป็นหลัก จึงเป็นที่มาของ “แผนปฏิบัติการเร่งด่วน ชทพ.” 7 ด้าน

1.แผนปฏิบัติการ ชทพ.ด้านการเกษตร ภายใต้แนวคิด “การเกษตรทันสมัย มีเงินใช้ทุกครัวเรือน” ด้วยการส่งเสริมการทำงานของอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) คนละ 1,000 บาทต่อเดือน และทุนเรียนฟรีสำหรับการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านการเกษตร

2.แผนปฏิบัติการ ชทพ.ด้านการศึกษา ภายใต้หลัก “ได้เรียนในสิ่งที่ใช่ ได้ใช้ในสิ่งที่เรียน ไม่เปลี่ยนไปตามการเมือง” โดยมีคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนพรรคการเมือง ผู้แทนภาคการศึกษา ผู้แทนภาคประชาชน และผู้แทนนักเรียน นิสิต นักศึกษา เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายการศึกษา โดย รมว.ศึกษาธิการทุกคนต้องขับเคลื่อนตามแผนการศึกษาอย่างน้อย 4 ปี แต่หากจำเป็นต้องปรับปรุงแผนดังกล่าว จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการศึกษา

3.แผนปฏิบัติการ ชทพ.ด้านสังคม ภายใต้หลัก “สร้างสวัสดิการให้ทุกวัน ใส่ใจกับผู้ด้อยโอกาส” ทั้งนี้ กำหนดให้มีกองทุนมรดกเงินล้าน ทุนสำรองยามยาก เพื่อแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน ด้วยการให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุน สมทบเงินกองทุนครั้งแรก ต้องทำพินัยกรรมให้ทายาทผู้รับมรดก และเมื่อสมาชิกสะสมเงินเข้ากองทุนมาตลอด ต่อมาเกิดเสียชีวิต ทายาทมีสิทธิได้รับมรดกตามที่กองทุนกำหนดสูงสุด 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินสมทบและระยะเวลาที่ส่ง โดยสามารถนำเงินที่สมทบเข้ากองทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้

นอกจากนี้ เมื่อสมัครและสมทบเงินเข้ากองทุนตามที่กองทุนกำหนด จะสามารถยืมทุนสำรองยามยากได้ 5,000 บาท มีดอกเบี้ยร้อยละ 6 ต่อปี เมื่อชำระเงินยืมทุนสำรองยามยากครบ จะมีสิทธิยืมทุนสำรองยามยากต่อไปอีกเพิ่มปีละ 5,000 บาท สามารถยืมทุนสำรองยามยากสูงสุด 25,000 บาท

4.แผนปฏิบัติการ ชทพ.ด้านสาธารณสุข ภายใต้หลัก “สร้างสุขภาพเชิงป้องกัน การหาหมอรอไม่นาน” โดยให้มีการตรวจสุขภาพฟรีปีละหนึ่งครั้ง สนับสนุนการทำงานและเพิ่มค่าตอบแทนให้กับอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) คนละ 1,500 บาทต่อเดือน

5.แผนปฏิบัติการ ชทพ.ด้านกระจายอำนาจจัดเพิ่มงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อการลงทุนในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ขาดแคลนอย่างน้อย 10 ล้านบาท 6.แผนปฏิบัติการ ชทพ.ด้านการท่องเที่ยว

ส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของประเทศ เพื่อการสร้างงานสร้างรายได้และความอยู่ดีกินดีของประชาชน โดยจะสนับสนุนให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ควบคู่ไปกับการรักษาแหล่งท่องเที่ยวเดิม และ 7.แผนปฏิบัติการ ชทพ.ด้านพัฒนาเมือง ปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้สะดวกรวดเร็ว ขยายรถไฟฟ้าไปชานเมืองและต่างจังหวัด และเพิ่มทางลัด สร้างสะพานใหม่ แก้ปัญหาจราจร และผลักดันการทำให้เมืองสะอาด หายใจได้เต็มปอด

แผนปฏิบัติการเร่งด่วน ชทพ. 7 ด้านได้ถูกนำเสนอต่อว่าที่ผู้สมัครในวันปฐมนิเทศผู้สมัครทั่วประเทศแล้ว เพื่อให้แต่ละคนนำไปใช้หาเสียงสู้ในพื้นที่เพื่อเป้าหมายเกือบ 30 ที่นั่งตามที่แกนนำได้วางเอาไว้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image