ปัญหาที่มีการแยกแตกตัวจากพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคประชาชาติ เป็นพรรคไทยรักษาชาติ หรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อชาติ ทำให้ปัญหา “ยุทธวิธี” มีความสำคัญ
พรรคประชาธิปัตย์ อาจไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น
พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา อาจไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น
แม้จะรู้สึกอึดอัด คับข้อง จากโครงสร้างของการเลือกตั้งอันกำหนดและบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ก็ตาม
แต่กล่าวสำหรับพรรคเพื่อไทยมีความจำเป็น
เพราะพรรคเพื่อไทยคือ “อวตาร” ของพรรคพลังประชาชน ขณะที่พรรคพลังประชาชนคือ “อวตาร” ของพรรคไทยรักไทย
หากพรรคเพื่อไทยต้องการเอาชนะ “คสช.” ก็จำต้องกำหนด “ยุทธวิธี” ที่เหมาะสม
ตรงนี้แหละที่ “ยุทธวิธี” มีความสำคัญ เพราะหากไม่มียุทธวิธีที่ดีหรือเหมาะสมกับสภาพก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะบรรลุ “ยุทธศาสตร์” ที่วางเอาไว้
ต้องยอมรับว่า ยุทธศาสตร์ คือ เป้าหมายที่จะก้าวไป ขณะที่ยุทธวิธีคือกระบวนการหรือรูปแบบที่จะนำไปสู่ยุทธศาสตร์
ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย คือ เอาชนะ “คสช.”
จุดตรงนี้เองที่ทำให้พรรคเพื่อไทยแตกต่างไปจากพรรคการเมืองอื่น ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติพัฒนา
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย
บางพรรคการเมืองอาจต้องการเพื่อสนับสนุน คสช. สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อสานต่อนโยบาย
บางพรรคการเมืองต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสืบทอดอำนาจของ คสช.
แต่พรรคเพื่อไทยแจ่มชัดว่าต้องการเอาชนะ คสช. ไม่ต้องการให้ คสช.ได้สืบทอดอำนาจ ต้องการยุติบทบาทของ คสช. และโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ยุทธศาสตร์เป็นเช่นนี้ ยุทธวิธีจะเป็นเช่นใด
แท้จริงแล้ว การแยกและแตกตัวพรรคเพื่อไทยไปเป็นพรรคประชาชาติ ไปเป็นพรรคไทยรักษาชาติ หรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อชาติ
นั่นก็คือ กระบวนการในทาง “ยุทธวิธี”
เพราะตระหนักว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ร่างมาเพื่อมัดตราสังมิให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นเหมือนกับที่พรรคไทยรักไทยเคยเป็น
เป็นเหมือนกับที่พรรคพลังประชาชนเคยได้เมื่อปี 2550 พรรคเพื่อไทยเคยได้เมื่อปี 2554
การแก้เกมนี้จึงไม่ปล่อยให้พรรคเพื่อไทยต่อสู้แบบเทิ่งๆ ตรงกันข้าม มีความจำเป็นที่จะต้องแยกกันเดิน เพื่อกระจายความเสี่ยง
จุดร่วมอย่างสำคัญก็คือ กำหนด “ยุทธศาสตร์” เดียวกัน
จุดต่างอย่างสำคัญก็คือ สรุปบทเรียนจากชัยชนะของพรรคไทยรักไทย และของพรรคพลังประชาชน ขณะเดียวกัน ก็คิด “ยุทธวิธี” ที่เหมาะสม
แต่ละ “ยุทธวิธี” ก็เพื่อ “ยุทธศาสตร์” เดียวกัน
จากนี้จึงเห็นได้ว่า ยุทธศาสตร์และเป้าหมายต่างหากคือแก่นแกนอย่างแท้จริง ขณะที่ยุทธวิธีสามารถยืดหยุ่นและพลิกแพลงได้
ตามความเหมาะสมของ “กาละ” และ “เทศะ”
หากดูรายละเอียดและทิศทางของพรรคเพื่อไทยเปรียบเทียบกับพรรคประชาชาติและกับพรรคไทยรักษาชาติก็จะสัมผัสได้ในลักษณะต่างและลักษณะร่วม
คำตอบอยู่ที่เดือนมีนาคมว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร