เชื่อว่าจนถึงวันนี้ ก็คงยังมีคนจำนวนไม่น้อยพิศวงงงงวย ไม่เข้าใจ
ไปจนกระทั่งถึงรับไม่ได้
กับปรากฏการณ์แฮชแท็ก #ฟ้ารักพ่อ ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นเป็นกระแสนิยมในโซเชียลมีเดีย
โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมจาก “คนรุ่นใหม่” มากกว่าประดาผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าง “ทวิตเตอร์”
จึงไม่ควรประหลาดใจในปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตามมา
เมื่องงงวย ไม่เข้าใจ ไปจนกระทั่งถึงยอมรับไม่ได้กับปรากฏการณ์ที่เป็น “ของใหม่” สำหรับตนเอง
ประดาผู้อาวุโส ผู้เชื่อในสิทธิอันชอบธรรมของการอาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมต้องหงุดหงิด ไม่พอใจ
ไปจนกระทั่งถึง “ต่อต้าน-ห้ามปราม” การแสดงออกของกลุ่มที่ถูกมองว่า “ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” เหล่านี้
จึงปรากฏคำว่า “ต่ำตม” จึงปรากฏเหตุการณ์ประเภท “ขู่ฆ่า” ติดตามมา
เป็นธรรมชาติธรรมดาของคนกลุ่มที่ “เคยรู้สึก” ว่ามีอำนาจเหนือ
เมื่อไม่ได้ดังใจ เมื่อไม่สบายใจ เมื่อเกิดความหวั่นเกรงเพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคต-ใกล้หรือไกล-จะเกิดอะไรขึ้น
ย่อมต้องใช้วิธีการอันเคยชิน วิธีการที่ “ง่าย” สำหรับตนเองเข้ารับมือหรือจัดการ
นั่นคือใช้การสั่ง ใช้การประณามแบบเหมารวม เพื่อให้อีกฝ่ายปฏิบัติหรือเปลี่ยนแนวปฏิบัติไปในทางที่ตนเองต้องการ
คำถามก็คือ
วิธีการเหล่านี้ยังมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่
ปฏิกิริยาตอบโต้และต่อต้านท่าที “ต่ำตม-ขู่ฆ่า” ก็พอจะบอกได้ระดับหนึ่ง
แต่ที่มาตอกย้ำให้เห็นชัดเจนยิ่งกว่า คือท่าทีของสังคมต่อกรณี “หนักแผ่นดิน”
เมื่อเกิดการโต้เถียงวิวาทะ ว่าด้วยการปฏิรูปกองทัพก็ดี ว่าด้วยงบประมาณกลาโหม
และผู้นำกองทัพ-ผู้นำรัฐบาลตอบสนองด้วยการขุดเพลง “หนักแผ่นดิน” ขึ้นมาเป็นประเด็นก็ดี
ปฏิกิริยาที่ถาโถมหลั่งไหลเข้ามาก็คือ
หนักแผ่นดินนั้นอาจจะเป็นเพลงปลุกใจเร้าใจของฝ่ายหนึ่ง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง หนักแผ่นดินคือเพลงสัญลักษณ์ของการเข่นฆ่ากลางเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
เป็นภาพสะท้อนของความแตกแยกแบ่งขั้วในสังคมไทย
ส่งผลให้แฮชแท็ก #หนักแผ่นดิน ขึ้นมาติดอันดับต้นของทวิตเตอร์ไทยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
พลังและความรุนแรงของปฏิกิริยาตอบสนองครั้งนี้ ส่งผลให้คำสั่งเปิดเพลงหนักแผ่นดินที่เกิดขึ้นในช่วงเช้า
ถูกระงับไปในบ่ายวันเดียวกัน
ทั้งกรณี #ฟ้ารักพ่อ และ #หนักแผ่นดิน สะท้อนอะไร
ด้านหนึ่งอาจจะสะท้อนความแตกต่างหลากหลายที่ดำรงอยู่ในสังคม
อันเป็นธรรมชาติปกติธรรมดาของมนุษย์
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นถึงช่องว่างของความเชื่อ และทัศนคติ ระหว่างคนต่างวัย
หรือที่ศัพท์ต่างประเทศใช้คำว่าเป็น Generation Gap
สิ่งที่เคยได้รับการเชื่อถือ ศรัทธา หรือเป็นทัศนคติของคนรุ่นหนึ่ง
อาจจะเป็นสิ่งไม่มีค่าในสายตาของคนอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีความเชื่อ ทัศนคติ และการรับรู้โลกที่แตกต่างออกไป
และมิได้เป็นสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในโลกหรือสังคมไทย
ส่วนหนึ่งของการอภิวัฒน์ 2475 ก็เกิดขึ้นจากปัจจัยนี้
ส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวใหญ่ของนักศึกษาประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็เกิดขึ้นจากปัจจัยนี้
และคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจ-ประณาม #ฟ้ารักพ่อ และ #หนักแผ่นดิน อยู่ในวันนี้
ก็เคยมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นมาแล้ว
เคยเป็น “คนรุ่นใหม่” เคยมี “วิญญาณขบถ”
เคยมีความใฝ่ฝันแสนงามมาแล้วในวัยวารหนึ่ง
น่าเสียดายยิ่ง หาก “การเติบโตเป็นผู้ใหญ่” คือการละทิ้งความฝัน-ความหวัง
อันเป็นคุณสมบัติสำคัญของเยาวชนคนรุ่นใหม่
น่าเสียดายยิ่งหากคนที่เคยเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ในวันหนึ่ง
ละทิ้ง-ลืมเลือนความหวังความฝันของตนเองไปโดยไม่เหลือร่องรอย
และเป็นส่วนหนึ่งของการถ่างให้ “ช่องว่างระหว่างวัย” ขยายกว้างยิ่งขึ้น