“จาตุรนต์” แซะ ดีเบต กกต. จัดให้รู้ว่าจัด ไม่ได้รับความสนใจ ชี้ คนคอยดูนายกฯพูดบนเวทีดีเบต

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ตลาดรุ่งเจริญ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นำโดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายพิชัย นริพทะพันธุ์ นายประภัสร์ จงสงวน คณะทำงานฝ่ายเศรษฐกิจ พร้อมด้วยแกนนำ และสมาชิกพรรค ลงพื้นที่ช่วยนายพงษ์พิสุทธิ์ จิตรโสภณ ผู้สมัครเขตบางคอแหลม-ยานนาวา หาเสียง โดยพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนได้เข้ามาทักทายบรรดาแกนนำ บางคนนำดอกไม้ และพวงมาลัยมามอบให้เป็นกำลังใจ ซึ่งนายจาตุรนต์ และคณะได้แวะทานโจ๊กกลางตลาดรุ่งเจริญด้วย

จากนั้น เวลา 08.10 น. นายจาตุรนต์ ให้สัมภาษณ์ ถึงการจัดดีเบตของกกต. ว่า เขาก็วางหลักเกณฑ์ของเขาไว้ แต่การดีเบตหรือจัดปราศรัยโดย กกต. ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาในอดีตไม่เคยประสบความสำเร็จ คือไม่มีคนไปฟัง ที่ไปฟังก็มีแต่คนที่สนับสนุนกันเอง พอจัดลักษณะนี้ก็ไม่ตรงกับความสนใจของคนดู คนฟัง กลายเป็นให้ชื่อว่าได้จัดเท่านั้น ทั้งนี้ การดีเบตต้องเปิดให้เสรีมากๆ เพราะปัจจุบันมีสื่อจำนวนมาก ถ้าเปิดโอกาสให้เขาตัดตามความสนใจของผู้จัดซึ่งเขาต้องเอาใจผู้ฟังเขาก็จะจัด และสิ่งสำคัญที่ทำให้ขาดความน่าสนใจไปอีกก็คือ การที่นายกฯไม่ยอมดีเบต เพราะคนคอยดูอยู่ว่านายกฯ จะถูกต้อนอย่างไร พูดแล้วไม่สามารถพูดเหมือนอย่างพูดคนเดียวได้อย่างไร ทำให้คนไม่ได้รู้ว่าเมื่อนายกฯมีคู่แข่งจริงๆแล้วจะพูดอย่างไร อาศัยแค่การพูดในฐานะนายกฯ ผ่านทีวีรวมการเฉพาะ แบบนี้เป็นการเอาเปรียบคู่แข่งมากเกินไป

เมื่อถามว่า ช่วงนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกรณีคนรุ่นใหม่ บ้างก็ว่าห่วงความคิด หรือห่วงการหลงเชื่อวาทะกรรม ในฐานะพรรคทษช. มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่มองเรื่องนี้อย่างไร นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา นับเวลา 10-15 ปี การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับการเมือง และการเลือกตั้งมากที่สุด อาจเพราะมีคนที่ไม่เคยเลือกตั้งเลยจะเลือกตั้งครั้งแรกกว่า 7 ล้านคน และคนรุ่นใหม่อยู่กับบ้านเมืองที่เศรษฐกิจเสียหาย ไม่มีสิทธิเสรีภาพ แต่ยังมีช่องทางรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ในการจะมีชีวิตที่ดีต่อไปของคนรุ่นใหม่ มันมาเกี่ยวกับการเมือง และรัฐบาล โดนตนเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่มีความรู้ ความเข้าใจค่อนข้างมาก ซึ่งพรรคทษช. มีคนรุ่นใหม่จำนวนมาก และเราให้ความสำคัญกับปัญหาของประเทศที่จะมีผลกระทบโดยตรงกับคนรุ่นใหม่ และการเลือกตั้งครั้งนี้เราเชื่อว่า ทุกฝ่ายจะให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจเลือกของคนรุ่นใหม่

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีความพยายามยุบพรรค และดำเนินการโดยเฉพาะกับฝั่งประชาธิปไตย นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ในส่วนของกรณีการยุบพรรคทษช. เราจะไม่แสดงควาทเห็นใดๆ จะให้เป็นการสู้ความกันในศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ในส่วนของพรรคการเมืองอื่นที่มีความพยายามจะเล่นงานหัวหน้าพรรคบ้าง ยุบพรรคการเมืองบ้าง เป็นการใช้อำนาจของคสช. และผู้มีอำนาจโดยไม่ชอบธรรม การที่นายกฯซึ่งจะเป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯบัญชีของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นหัวหน้าคสช. อยู่ การใช้อำนาจของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการไปดำเนินการ หรือการดำเนินคดีโดยเฉพาะคดีที่ทำให้หัวหน้าพรรคการเมืองติดคุกติดตะราง หรือยุบพรรค สามารถทำได้ง่ายขึ้น มากขึ้น เพราะกลไกต่างๆต้องเกรงกลัว คสช. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยคือการใช้อำนาจคสช.ในการส่งสัญญาณไปโดยการโทรศัพท์เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินคดี การดำเนินการในลักษณะนี้เมื่อมีการเลือกตั้งคสช. จะต้องงดเว้ย และต้องกำชับให้หน่วยงานต่างๆเลิกทำแบบนี้ แต่กลับมาทำแบบนี้เหมือนเป็นการสกัดกั้นนักการเมืองหรือพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ขอทำให้เห็นว่าการเลือกตั้งในลักษณะนี้เป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งคสช. ควรงดใช้อำนาจลักษณะที่ได้แล้ว

Advertisement

เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่าพรรคการเมืองโจมตีกองทัพเพื่อหวังให้กองทัพล่มสลาย นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความจงใจที่จะทำให้เหมือนเป็นความเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจของฝ่ายคสช. หรือผู้นำกองทัพเอง พรรคการเมืองต่างๆที่วิพากษ์วิจารณ์บทบาทของผู้นำกองทัพก็ดี หรือเสนอให้ปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมก็ดี เป็นเรื่องของการทำตามหน้าที่ และตามความชอบธรรมโดยระบอบประชาธิปไตย และโดยครรลองของการเลือกตั้ง เป็นธรรมดาที่พรรคการเมืองจะสามารถเสนอได้ว่าจะปรับลดกระทรวงใด และหากพรรคการเมืองไหนเห็นว่างบกระทรวงกลาโหมสูงเกินไปเขาจะเสนอตัด โดนไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นความสำคัญของความมั่นคง หรือกองทัพ เพียงแต่เห็นว่างบประมาณสูงเกินไป และต้องปรับลด ส่วนพรรคการเมืองอื่นจะเห็นว่าควรเพิ่ม ก็มีสิทธิ พรรคการเมือวจะเสนอปรับขึ้นหรือปรับลดงบประมาณกองทัพก็ได้ โดยที่ผู้นำกองทัพไม่มีหน้าที่ ไม่มีสิทธิจะมาโต้แย้ง หรือวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงไล่ให้เขาไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน เพราะโดยระบบแล้วผู้นำกองทัพมีหน้าที่ทำตามคำสั่ง และนโยบายของรัฐบาล ถ้าทษช.ได้เข้าไปเป็นรัฐบาล หรือเข้าไปคุมกระทรวงกลาโหม เราก็จะใช้อำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมโดยทันที และนี่ไม่ใช่เรื่องตั้งตัวเป็นศัตรูอะไร แต่เพราะงบกระทรวงกลาโหมเพิ่มติดต่อกันมาโดยตลอด ขณะที่งบประมาณด้านอื่น โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาลดลงต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้การพัฒนาคน การสร้างคน และสร้างประเทศคงเกิดขึ้นไม่ได้ จะสร้างแต่กองทัพที่ใหญ่เกินขนาด และไม่มีประสิทธิภาพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image