หากนำเอาท่าทีของพรรคพลังประชารัฐ ประสานเข้ากับท่าทีของ นายวิษณุ เครืองาม ต่อกรณีเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าสู่กระบวนการ “ดีเบต”
จะรู้ทันทีเลยว่า ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะเกิดขึ้นในทางเป็นจริง
ไม่ว่าความเป็นจริงในความเห็นของกกต. ไม่ว่าความเป็นจริงต่อสถานะการดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หากอ่านแต่ละ “คำพูด” ของ นายวิษณุ เครืองาม ก็มี “คำตอบ”
จึงไม่แปลกที่แม้จะมีคำยืนยันจากสำนักงานกกต.ว่า ผู้ดำรง อยู่ในสถานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีสามารถเข้าร่วมในกระบวน การดีเบตได้
เพราะ “ไม่มีข้อห้าม” ตามระเบียบของกกต.
แต่นั่นมิได้หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่นอน
การดำรงอยู่ในสถานะ “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เป็นการดำรงอยู่ซึ่งแตกต่างไปจาก “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีของพรรคอื่น
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็น สมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่
จึงสามารถพูดนโยบายของพรรคได้อย่างเต็มปาก
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐ มนตรีของพรรคพลังประชารัฐ แต่มิได้เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
จึงไม่สามารถพูดนโยบายของพรรคพลังประชารัฐได้
ตัวอย่างง่ายๆที่ นายวิษณุ เครืองาม ยกมาก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถพูดถึงนโยบาย “ประชารัฐ” ได้ แต่พูดถึงนโยบาย “พรรคพลังประชารัฐ” ไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเป็นเอกเทศจากพรรคพลังประชารัฐ แม้จะเป็น “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ
แค่กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐทำหนังสือถามถึงกกต.ล่า ช้ากระทั่งคล้ายกับเป็นอาการของการโยกโย้ เตะถ่วง หน่วงเวลา ก็เห็นชัดแล้วว่าเจตนาแท้จริงคืออะไร
เจตนาแท้จริงก็ไม่แตกต่างไปจากที่ นายวิษณุ เครืองาม ให้คำชี้แนะลงมาเลยแม้แต่น้อย
ความหมายก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ “ดีเบต”
ความหมายก็คือ พรรคพลังประชารัฐ ไม่ยอมให้เข้า “ดีเบต”
