บิ๊กตู่ ชี้ละเมิดสิทธิเป็นปัญหาทั้งโลกไม่ใช่แค่ไทย สั่งกรมประชาฯเอาผิดสื่อบิดเบือน

‘ประยุทธ์’ แจง ละเมิดสิทธิกับการบังคับใช้กฎหมาย เป็นปัญหาทั้งโลก สั่งสำนักโฆษกฯ-กรมประชาฯ ดูประเด็นบิดเบือนจากสื่อเตรียมฟ้องเอาผิด

เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ภายใต้กลไกยูพีอาร์ (Universal Periodic Review : UPR) รอบที่ 2 ต่อที่ประชุมคณะทำงานยูพีอาร์ สมัยที่ 25 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ว่า ไม่ได้เรียกประเทศไทยไปชี้แจงประเทศเดียว มีการเรียกทั้งหมด 130 กว่าประเทศ ในฐานะประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งก็มีการย้อนไปถึงรัฐบาลชุดที่ผ่านมาด้วยว่ามีอะไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดรัฐบาลที่แล้วมีเรื่องที่เขาแจ้งมาเป็นร้อยเรื่องเข่นกัน และแก้ไขได้เพียงร้อยละ 20 วันนี้มีการเสนอมา 249 เรื่อง แก้ไขได้เพียง 181 เรื่อง ก็รับมาทั้งหมด เราต้องแก้ไขประมาณร้อยละ 70 ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศมหาอำนาจที่ว่าเราบางประเทศรับมา 380 กว่าเรื่อง สามารถแก้ไขปัญหาได้ไม่ถึงครึ่ง แสดงว่ามันเป็นปัญหาของโลกทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการบังคับกฎหมาย ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละประเทศ ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ สิ่งสำคัญเราต้องไม่ทิ้งพันธกรณีดังกล่าว ในเรื่องของสิทธิมนุษยชนเราก็ระวังมาตลอด

“อยากจะชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ และแยกแยะว่า คนที่กระทำความผิดที่ต้องถูกเรียกตัวมาดำเนินการก็มี 2 ลักษณะ คือเรียกตัวมาแล้วก็ปล่อยกลับไปถือว่าเป็นความเมตตาแล้ว เพราะถ้าว่ากันตามคดีมันผิดทั้งหมด แต่ถ้าไม่ร้ายแรงผมก็สามารถผ่อนผันให้ได้ แต่ถ้ามันร้ายแรง เป็นประเด็นที่ทำร้ายคนไทยทั้งชาติ ผมยอมไม่ได้ ก็ต้องให้เป็นเรื่องของศาล และผมก็ได้สั่งให้ชี้แจงไปว่าการที่นำตัวขึ้นศาลทหารนั้นก็เหมือนกับศาลธรรมดา แต่ที่เป็นศาลทหารเนื่องจากใช้คณะในการพิจารณาเป็นทหาร จบจากทหารพระธรรมนูญ ซึ่งเรียนจบกฎหมายมาทั้งหมดแตกต่างกันก็แค่มียศเท่านั้น แต่ใช้วิธีการพิจารณาของศาลปกติ สามารถประกันได้ มีทนายได้ ผมอยากจะถามว่าใช้ศาลทหารมันผิดตรงไหน และที่ต้องใช้ศาลทหารก็เพราะสถานการณ์มันไม่ปกติ คนเหล่านี้ไม่เคารพกฎหมายปกติ เรื่องเหล่านี้สื่อช่วยแยกให้หน่อย ไม่ใช่ว่าเราต้องการไปปิดบังบิดเบือน หรือต้องการไปละเมิดสิทธิ์ ขอให้ไปดูให้ชัดว่าใครไปละเมิดสิทธิ์ใคร เขาละเมิดสิทธิ์ผมหรือเปล่า ในการที่ผมกำลังทำงานให้กับประเทศดูว่าเขาละเมิดสิทธิ์ประชาชนหรือไม่ ถ้าสื่อฟังแล้วไปขยายความก็ขัดแย้งก็อยู่แบบนี้ และสิ่งที่จะตามมาคือต่างชาติไม่เข้าใจเรา ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ การที่จะเข้ามาค้าขายหรือลงทุนก็ไม่มั่นใจ ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง ผมขอแค่นี้ ช่วยกันดูว่าประเทศจะเดินต่อไปอย่างไร ผมไม่ได้ไปโมโหสื่อเพราะไม่ได้เขียนเชียร์ผม ยืนยันว่าไม่ต้องมาเชียร์เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็อยู่อยู่แล้ว แม้จะว่าผมผมก็อยู่ เพราะผมต้องอยู่ ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าผมกำลังทำอะไรในหลายๆ อย่าง แล้วมันก็ดีขึ้น”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้มอบหมายให้สำนักโฆษกฯ และกรมประชาสัมพันธ์ นำทุกประเด็นที่สื่อเขียนมาดู และชี้แจง ซึ่งถ้าประเด็นไหนบิดเบือนมากๆ ก็อาจจะต้องดำเนินคดีทางกฎหมายบ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะว่ากันไปมาทำให้คนหมดกำลังใจในการทำงาน ซึ่งการแก้ไขก็ต้องมีทั้งคนที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ มีคน 2 ฝ่ายเกิดขึ้นเสมอไม่มากก็น้อย มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย วันนี้ทุกคนพยายามจะให้ตนเองไปฟังเสียงส่วนน้อยที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ถ้าจิตใจบริสุทธิ์ยืนยันว่าตนเองพร้อมดูแลทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร แม้กระทั่งคนกระทำความผิดที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องดูแล และให้ความเป็นธรรม อย่าไปไล่ล่ากันต้องมีเหตุผล ควรมีเมตตา ทั้งเรื่องการเยียวยา การควบคุมตัว

Advertisement

“อยู่ในค่าย ยืนยันว่าไม่ได้ขังไม่มีกรงขังสักอัน ไปกินข้าวอยู่ในบ้าน พูดคุยกันเสร็จแล้วก็ปล่อยตัวออกมา แต่ถ้าสอบแล้วเจอความผิดที่หนักหนาสาหัสก็ต้องส่งตัวให้ตำรวจ ซึ่งก็มีเหมือนกันทุกประเทศไปถามดูได้ประเทศมหาอำนาจที่ว่าเรา เขาได้ดำเนินคดีไปกับคนที่มีความผิดทางการเมือง ต่อต้านการเมืองในประเทศของเขาเอง ผมจำเป็นต้องพูดบ้างแต่ไม่บอกว่าประเทศอะไร มีการจับกุมเป็นพันคน แล้วอยู่ที่ไหนทำไมไม่ถามกันบ้าง ผมไม่ได้เก็บตัวไว้สักคน ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายให้ไปสู้คดี เมื่อได้รับประกันก็ปล่อยตัวทุกคน เว้นแต่บางคนที่ต้องสืบสาวราวเรื่อง มีหลักฐานให้มากขึ้น ผมถามว่าอย่างความผิดทางคอมพิวเตอร์ ผมหรือเจ้าหน้าที่สามารถไปโพสต์ข้อความแทนได้อย่างนั้นหรือ เพราะมีบางคนกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่เป็นคนโพสต์ เจ้าหน้าที่จะไปบ้าทำทำไม”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image