⦁…การหาเสียงเลือกตั้ง เคลื่อนสู่ “โค้งสุดท้าย” ความแม่นยำในการ “ชี้จุดอ่อนคู่แข่ง” และ “ชูจุดแข็งของตัวเอง” เป็นวิธี “ชิงคะแนนเสียง” ที่หวังผลได้มากที่สุดในช่วงที่ต้องแตกหักเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นแต่ละคนอาจจะสงวนท่าทีแต่ถึงเวลานี้ “แรงกดดัน” ทำให้เปลือยตัวตนมาให้เห็นกันทั่วหน้า
⦁…แม้จะมีความพยายามจะแบ่ง “พรรคการเมือง” ที่ส่งผู้สมัครชิงชัยกันครั้งนี้เป็น “3 ฝ่าย” คือ “ฝ่ายประชาธิปไตย-ฝ่ายเผด็จการ และฝ่ายเป็นกลาง” แต่พอเข้า “ช่วงสุดท้าย” ดูเหมือนว่า “จุดยืนแบบเป็นกลาง” จะถูกกลืนหาย เพราะ “ขายไม่ได้” สถานการณ์ที่เรียกร้องให้เลือกกันแบบแตกหัก ทำนอง
“ไม่เลือกเรา เขามาแน่” และ “ไม่เลือกเรา เขาอยู่ต่อ” ต่างฝ่ายต่างพวกเดียวกันให้ “ตัดสินใจแบบเด็ดขาดเข้มข้น” ส่งผลให้พรรคที่เสนอตัวเองว่า “เป็นกลาง” นับวันจะไม่มีที่ยืน
⦁…ด้วยกระแสเช่นนี้เอง ที่ทำให้ “พรรคประชาธิปัตย์” ก่อนหน้านั้น ที่พยายามให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็น “เผด็จการ” และอีกฝ่ายหนึ่ง “ทุจริต” ที่ไม่ขอร่วมด้วยทั้งคู่ ถึงวันนี้ดูจะชัดเจนขึ้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกคลิปในโลกออนไลน์ล่าสุด เน้นเนื้อๆ “ไม่ร่วมกับพรรคทุจริต” แม้ไม่ระบุว่าพรรคไหน แต่คนฟังย่อมเข้าใจได้ไม่ยากว่า “เลือกข้างไหน” แล้ว
⦁…ประเด็นบนเวทีปราศรัยช่วงสุดท้าย ของ “ฝ่ายไม่เลือกเรา เขาอยู่ต่อแน่” ย้ำกันหนักในเรื่อง “กติกาที่เอาเปรียบ” และ “ยุทธศาสตร์ 20 ปี” ที่จะพาประเทศไปสู่ “ความดักดาน” และ “ใช้อำนาจกำหนดกติกาให้ตัวเองได้เปรียบ” โดยเฉพาะ “250 ส.ว.” ถูกทำให้เป็น “ตัวแปลกปลอม” ที่เสนอหน้าเข้ามาเป็น “อุปสรรคของประชาธิปไตย”
⦁…ขณะที่ “ฝ่ายไม่เลือกเรา เขามาแน่” ที่สุดย้อนไปเรื่องเก่าคือ “ปลุกผีทักษิณ” ขึ้นขู่ให้กลัว ซึ่งได้ผลไม่น้อย ในสังคมไทยเราที่ “ความเกลียดชัง” ถูกหมักอยู่ในจิตใต้สำนึกของ “คนจำนวนไม่น้อย” การปลุกให้เกิดอารมณ์ร่วม เพื่อละเลยเหตุผลอื่น จึงยังใช้ได้เสมอ อีกทางหนึ่งเอาประเด็น “อ่อนไหว” มาเล่น เพื่อสร้างความเกลียดชัง และด้วยวิธีการเช่นนี้ “ผู้ถูกกระทำ” ค่อนข้างรับมือได้ยากลำบาก ได้แค่อาศัย “ความเข้าใจของประชาชน” ที่จะมีสติพอไม่หลงตามแรงกระตุ้นไป
⦁…เพราะกระแสแรงวันแรงคืน ชนิด “รั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่” ทำให้ “พรรคอนาคตใหม่”กลายเป็นเป้าถล่มหนักช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ทั้งเรื่อง “ธุรกิจ” และ “ข้อกล่าวหาที่อ่อนไหว” เมื่อเลือกที่จะไม่ตอบโต้ ด้วยเอือมระอากับ “การเมืองแบบทำลายล้าง” คิดว่า “ไม่ให้ราคา” เดี๋ยวเรื่องก็จบ แต่ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะ “ฝ่ายผู้กระทำ” ยิ่งได้ใจ “มันปาก สนุกมือ” ที่สุดก็ต้อง “ยื่นฟ้อง” อาศัย “อำนาจศาล” หยุดการสาดโคลน แม้ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่ดูจะไม่มี “ทางเลือกอื่น”
⦁…ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ “เลือกตั้งเที่ยวนี้” ไม่เพียง “พรรคการเมือง” จะโจมตีกันเอง แต่ “กองทัพ” ถูกดึงเข้ามาสู่การช่วงชิงชัยชนะอย่างดูว่าจะมากกว่าครั้งไหน “การปฏิรูปกองทัพ” การนำเรื่องราว “บริหารจัดการกองทัพ” มาวิพากษ์วิจารณ์ อย่างลงลึกในรายละเอียดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทางหนึ่งย่อมแน่นอนว่า กระทบ “ความศรัทธาต่อกองทัพ” ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหว แต่อีกทางหนึ่งย่อมสะท้อนว่า เมื่อ “ดึงกองทัพเข้ามายุ่งกับการเมือง” ย่อมเป็น “ธรรมดา” ที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ และขยายเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่