ไม่เพียงแต่คำประกาศไม่เอาการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากปาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อันเท่ากับเป็น หลักการของพรรคประชาธิปัตย์จะสำคัญ
หากคำประกาศของพรรคภูมิใจไทยอันมาจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ทรงความหมาย
โดยเฉพาะหลักการที่ว่า
“จะเดินไปกราบขอร้องวิงวอนทุกพรรคให้มารวมกันให้ได้มากกว่า 376 เสียง เพื่อที่นายกรัฐมนตรีจะมาจากสภาผู้แทนราษ ฎรอย่างสมบูรณ์แบบ
โดยที่ ส.ว.ไม่สามารถมีส่วนชี้นำ กำหนดหรือลงมติให้เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของสภาผู้แทนราษฎรได้
หลักการ ส.ส.เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีต้องนำมาใช้ทันที”
เมื่อนำเอาคำประกาศของพรรคประชาธิปัตย์ คำประกาศของพรรคภูมิใจไทย ประสานเข้ากับแนวทางของพรรคเพื่อไทย แนว ทางของพรรคอนาคตใหม่
เปรียบเทียบกับพรรคการเมืองที่อยู่ในกระบวนการเลือกตั้ง
ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชน ไม่ว่าจะเป็นพรรครวมพลัง ประชาชาติไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชนปฏิรูป ไม่ว่าจะเป็น พรรคพลังชาติไทย
ทำให้เกิดการแบ่งแยกความคิดและแนวทางการเมืองออกได้ อย่างเด่นชัด
แนวทาง 1 เอาคสช. เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แนวทาง 1 ไม่เอาคสช. ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจของคสช.
พรรคการเมืองใดมี”เป้าหมาย”อย่างไร การเคลื่อนไหวตลอด เดือนกุมภาพันธ์ และยิ่งเข้าใกล้วันที่ 22 มีนาคม ยิ่งแจ่มแจ้งในบทสรุปของประชาชน
คงเหลือเพียง 2 บทสรุปเท่านั้น คือ จะเอา หรือ ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีหนทางอื่น
เหลือเวลาอีกเพียง 7 วัน หรือ 1 สัปดาห์การเลือกตั้งในวันที่ 22 มี นาคม จะเดินทางมาถึง
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงทรงความหมายเป็นอย่างสูง
ทรงความหมายไม่เพียงแต่จะชี้อนาคต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากแต่ยังชี้ถึงอนาคตของประเทศไทย
ผลงาน 4 ปีเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดีว่าน่าจะเป็นเช่นใด
