การปราศรัย”ใหญ่”ไม่ว่าจะเป็นของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นของ พรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นของพรรคพลังประชารัฐ
ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงในทางการเมือง
ไม่เพียงแต่จะมองผ่าน “ปริมาณ” การเข้าร่วม ไม่เพียงแต่จะ มองผ่าน “คุณภาพ” ที่สำแดงออกผ่านการบริหารจัดการและบทสรุปในช่วงโค้งสุดท้าย
เพราะกำหนดในวันศุกร์ที่ 22 มีนาคมเหมือนกัน เพราะกำหนดใน กทม.เหมือนกัน เพียงแต่คนละสถานที่เท่านั้น
คำถามมิได้อยู่ที่ว่าแต่ละพรรคจะปราศรัยอย่างไร
หากแต่ยังอยู่ที่ว่าทำไมมีเพียง พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ
ไม่จำเป็นต้องเป็น”เกจิ”ในทางการเมืองก็สามารถตอบได้ว่าทำไม ต้องเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคพลังประชารัฐ
ทำไมจึงไม่เป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา
หากใครที่ติดตามการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรครวมพลัง ประชาชาติไทยที่นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ณ สวนเบญจสิริ เมื่อวันที่ 18 มีนาคมก็จะได้คำตอบ
เพราะมีแต่พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ เท่านั้นที่อยู่ยอดบนสุด
พรรคเพื่อไทยแทบไม่ต้องพูดถึงเพราะอยู่อันดับ 1 มาโดยตลอด ที่น่าสนใจกลับเป็นพรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐต่างหากที่แย่งชิงตำแหน่งที่ 2
คำตอบว่าพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคพลังประชารัฐจะได้ที่ 2 อยู่ในวันที่ 24 มีนาคม
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ การเคลื่อนไหวหาเสียงนับแต่เดือนธันวาคม 2561 เรื่อยมาจนถึงวันที่ 22 มีนานคม ได้จัดแบ่งขั้วใน ทางการเมืองออกเป็น 2 ขั้วโดยปริยาย
ขั้ว 1 พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ อีกขั้ว 1 คือ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่
2 ขั้วนี้แตกต่างกันอย่างไร ประชาชนล้วนมี”คำตอบ”
คำตอบว่าขั้วใดเอนไปทาง “คสช.” คำตอบว่าขั้วใดปฏิเสธบท บาทและความหมายของ”คสช.”