คําว่า “ธรรมาภิบาล” ถูกบัญญัติและพูดกันอย่างแพร่หลายมานานนัก
ราชบัณฑิตยสถานว่า คือวิธีการปกครองที่ดี
“ก.พ.” นำไปขยายต่อพร้อมกำหนดเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีกันเลยว่า “ธรรมาภิบาล” จะต้องประกอบไปด้วยหลัก 6 ประการ คือ หลักคุณธรรม, หลักนิติธรรม, หลักความโปร่งใส, หลักความมีส่วนร่วม, หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า
เรื่องพูด เขียน เรียน สอน ประชุมสัมมนาถกแถลงกันนั้นถนัดนัก
ที่ขาดที่หย่อนคือ การปฏิบัติ
เปรียบได้ว่า เรามักมี “ปริยัติ” ที่ดี กล่าวคือ ตำราดี ศึกษาเล่าเรียนดี
แต่ “ไม่ปฏิบัติ” หรือไม่ลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ทิ้งหมดทุกหลัก ทั้งคุณธรรม นิติธรรม ความโปร่งใส การมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบ
สุดท้ายก็ไปไม่ถึง “ปฏิเวธ” คือไม่บรรลุถึงซึ่ง “จุดหมาย” ที่ดีงามที่ถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่ความสงบ ความสันติ ความเจริญ
รัฐบาลที่บริหารประเทศทุกคณะจะต้องมี “ธรรมาภิบาล” ด้วยการ “ปฏิบัติ”
ต้องไม่คิด ไม่ประพฤติ ไม่มีนิสัยโกง !
ไม่ใช่ถือว่าเคยพาพวกพกปืนไปแย่งยึดอำนาจบริหารประเทศมาแล้วก็ลุแก่อำนาจ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในจารีตธรรมเนียมที่รัฐบาลก่อนๆ เคยปฏิบัติ
ก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง ห้ามรัฐบาลอนุมัติโครงการใหม่ๆ ที่เป็นการใช้เงินจากภาษีประชาชนไปเอารัดเอาเปรียบคู่แข่งขันทางการเมือง ห้ามใช้จ่ายงบประมาณสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉิน ห้ามก่อภาระผูกพันให้ ครม.ชุดต่อไป ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐอันจะก่อให้เกิดผลต่อการเลือกตั้ง ห้ามแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ห้ามใช้อำนาจใดๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยม
การห้ามทั้งหมดนี้เรียกว่า ธรรมาภิบาล
แต่รัฐบาลจำอวดอ้างว่า ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ มีอำนาจเต็ม ไม่ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมการประพฤติ
วันที่ 20 มีนาคม ก่อนเลือกตั้งแค่ 4 วัน กรมบัญชีกลางจะโอนเงิน “จ่ายเพิ่ม” จำนวน 1,814 ล้านบาท เข้าบัญชีเงินฝากของ อสม.ผู้มีสิทธิกว่า 1 ล้านคน
กล่าวกันตามระบบความคิด “แบบอำนาจนิยม” อาจถือว่า มี “อำนาจ” อยู่ในมือจะทำอะไรก็ได้
แต่ในระบบความคิด “แบบเสรีนิยม” ยิ่งมี “อำนาจ” ยิ่งต้องอายและรับผิดชอบ
24 มีนาคมนี้ 1 คน 1 เสียง ชี้ชะตาประเทศไทย
จะ “รับ” หรือ “ล้าง” !?!!
