พลันที่พรรคพลังประชารัฐโดย นายอุตตม สาวนายน ประกาศจุด ยืนออกมาในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่ว่า
”พรรคใดที่สามารถรวบรวมเสียงได้มากที่สุดเกินครึ่งสมควรมีสิทธิ์ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล”
เมื่อประสานเข้ากับแนวทางที่มาจากพรรคเพื่อไทย
”พรรคเพื่อไทยจะมาเป็นอันดับ 1 และสามารถจับมือกับฝ่ายประชาธิปไตยได้เกิน 250 เสียง”
แนวร่วม 2 แนวร่วมก็ปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ
1 คือ แนวร่วมที่พรรคพลังประชารัฐมีบทบาทในการรวบรวม
1 คือ แนวร่วมที่พรรคเพื่อไทยมีบทบาทในการรวบรวม
นี่คือ 2 ทางเลือกสำหรับตัดสินใจในการเลือกตั้ง
หากนำเอาลักษณะพันธมิตรในแนวร่วมระหว่างของพรรคพลังประชารัฐกับของพรรคเพื่อไทยมาวางเรียงเคียงข้างแล้วนำเอาข้อเสนอจากพรรคอนาคตใหม่มาเป็นบรรทัดฐาน
นั่นก็คือ
หากพรรคพลังประชารัฐได้รับเสียงสนับสนุนไม่เกิน 124 เสียง ทุกพรรคจะต้องยกมือรับรองนายกรัฐมนตรีจากพรรคที่มีเสียงข้างมาก
จะทำให้ได้ 376 เสียงไปต่อสู้กับ 124 เสียง ปิดเกมที่สภาล่าง
ส.ว. 250 คนก็ไม่มีความหมาย
เป็นการปิดสวิตซ์ 250 ส.ว.ที่มาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 อย่างสันติ และจะไม่วุ่นวาย
ประเด็นอยู่ที่ว่าแต่ละพรรคการเมืองจะตัดสินใจอย่างไร
ประเด็นอยู่ที่ว่าพรรคการเมืองที่ประกาศเรียกร้อง 250 ส.ว. ไม่ควรมาแสดงบทบาทต้านยัน 500 ส.ส.จะคิดนึก ตรึกตรองและเห็นด้วยหรือไม่
นั่นก็คือ จะยืนบนจุดยืน”ประชาธิปไตย”ตามที่พูดหรือไม่
ข้อเสนอจากพรรคอนาคตใหม่ไม่เพียงแต่จะมีผลต่อแต่ละพรรคการเมือง หากแต่ยังมีผลอย่างลึกซึ้งและกว้างขวางในทางความคิดก่อนประชาชนจะตัดสินใจเลือกมีความแจ่มชัด
เป็นความแจ่มชัดที่เร่งเร้าไปยังพรรคที่มีลักษณะ”กั๊ก” เรียกร้องให้เปิดเผยตัวตนออกมา
เมื่อท่านพูดคนจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำ คนจะเชื่อ