‘อนาคตใหม่กับอนาคตของการเมืองไทย’ โดย ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

เมื่อเย็นวันที่ 22 มีนานี้ ผมตั้งใจไปฟังการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายของพรรคอนาคตใหม่ที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง หลังจากติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวคราวของพรรคน้องใหม่สุดพรรคหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วด้วยการเสนอนโยบายที่แหลมคม เฉียบ (“คนเท่าเทียมกัน ไทยเท่าทันโลก”) และทำการบ้านทุกครั้งที่จะพูด จึงไม่แปลกใจที่การปรากฏตัวของพรรคอนาคตใหม่ สร้างแรงกระเพื่อมต่อแวดวงยุทธจักรการเมืองและรัฐบาลอย่างรวดเร็ว กระทั่งเกิดเป็นแรงพายุน้อยๆที่พัดกระแทกหัวหน้าและแกนนำของพรรคไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง

การที่สำนักข่าวและสถานีโทรทัศน์หนึ่งสร้างข่าวเพื่อให้เกิดเป็นกระแสด้านกลับหวังกลบความนิยมและคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ ด้วยการยกชั้นให้ธนาธรเท่ากับทักษิณ อันเป็นวิธีคิดและวิธีการที่คนกลุ่มนี้เคยใช้มาก่อนในการต่อต้านสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” จนเกิดเป็นกระแสไปทั่วในหมู่คนชั้นกลางและสูงที่หวาดกลัวความเปลี่ยนแปลง ทว่าคราวนี้มันกลับสร้างในสิ่งตรงกันข้าม เพราะคนรุ่นใหม่กว่ามีเครื่องมือสื่อสารดิจิทัลในมือกันทุกคน การสยบกระแสฝ่ายขวาจึงไม่ยากเหมือนก่อนนี้

ลักษณะเด่นในการปราศรัยของผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่คืออุดมการณ์ของความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของคน ไม่ว่าจะเป็นคนภาคอะไร เพศสภาพใด มีความเชื่อในศาสนาอะไร ทุกคนนำเสนออัตลักษณ์ของตนเองในด้านภาษา ศาสนา เครื่องแต่งกายไปถึงปัญหาของท้องถิ่นและประชาชน และความหลากหลายทางเพศได้อย่างอิสระเต็มที่

เนื้อหาในคำปราศรัยของผู้สมัคร ที่เด่นและต่างจากคำปราศรัยทั่วไปของนักการเมือง คือไม่เน้นการโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป แต่ที่สำคัญกว่าคือการประกาศเจตนารมณ์ของผู้สมัครและพรรคอนาคตใหม่ที่จะเข้าไปแก้ไขและทำการเปลี่ยนแปลงเอง หมดเวลาของการร้องขอและประณามกันอีกต่อไป ถึงเวลาของการลงมือกระทำ และทำด้วยมือของเราเอง นี่เป็นคำประกาศที่ใหม่มากสำหรับนักการเมืองหน้าใหม่ ซึ่งยังไม่เคยมีประสบการณ์และอำนาจบารมีในการบริหารและจัดการปัญหาระดับประเทศ ถือว่าเป็นการเปิดหน้าใหม่ของการเข้าสู่เวทีการเมืองที่เน้นกันในประเด็นแกนกลางของเรื่องเลย ไม่ต้องเสียเวลาอารัมภบทอะไรกันอีก

Advertisement

จากทรรศนะและวิธีคิดดังกล่าว ทำให้บุคลิกของผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสรเสรี สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในความคิดทางการเมืองในทศวรรษที่ผ่านมา ท่ามกลางความผันผวนและขัดแย้งทางการเมืองที่ดุเดือดรุนแรงระหว่างกลุ่มอุดมการณ์ที่ตรงข้ามกัน สิ่งที่คนทำงานเพื่อสังคมตระหนักและเห็นพ้องต้องกันคือการที่ประชาชนทุกภาคส่วนต้องเข้าไปมีส่วนร่วม เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการเมืองและสังคมเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญต่อการทำงานในพื้นที่และด้วยตนเอง

กล่าวสำหรับพรรคอนาคตใหม่เอง คงหลีกไม่พูดถึงหัวหน้าพรรคและแกนนำหลักของพรรคไม่ได้ ก่อนที่พรรคอนาคตใหม่จะก่อตั้ง มีน้อยคนมากที่เคยได้ยินชื่อหรืออ่านข่าวเกี่ยวกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เท่าที่รู้ๆกันก็คือเขาเป็นผู้บริหารบริษัทอุตสาหกรรมไทยที่ส่งนอกรายใหญ่ของประเทศ และต่อมาภาพที่เห็นบ่อยขึ้นคือการไปต่อสู้กับธรรมชาติที่ยากลำบากด้วยการเดิน ขี่จักรยานและอื่นๆในดินแดนที่หนาวสุดๆ หรือสูงสุดๆและยาวไกลมากๆ เห็นภาพของความแข็งแกร่งและอดทนในการเอาชนะความยากลำบากทั้งหลายของเขาชัดเจน

แล้ววันหนึ่งเขากับเพื่อนก็ประกาศตั้งพรรคการเมืองเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาประเทศด้วย

Advertisement

หลังจากนั้นข่าวและคลิปวิดิโอของธนาธรในจังหวัดและพื้นที่ต่างๆของประเทศก็เผยแพร่ออกมา กระทั่งกลายเป็นกระแสที่คนจำนวนมากติดตามความเคลื่อนไหวซึ่งเป็นการออกแนะนำตัวและพรรคกับนโยบายของพรรค ถ้าปราศจากเครื่องมือสื่อสารไร้สายเหล่านี้แล้ว ข่าวคราวและนโยบายของพรรคอนาคตใหม่และตัวธนาธรเองก็คงไม่มีใครรู้จักมากเท่าไร ที่สำคัญคือธนาธรสามารถทำให้ภาพลักษณ์และความคิดการเมืองของเขาถ่ายทอดผ่านสื่อสารสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกันเอง ตรงประเด็นและเต็มด้วยความจริงใจ นี่ไม่ใช่การหาเสียงแบบเดิมๆอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่การขอเสียง หรือขอความเมตตาหรือความเอ็นดูจากชาวบ้าน

แต่เขาไปกระตุ้นให้โอกาสและพื้นที่แก่ราษฎรในการใช้เสรีภาพและสิทธิของพลเมือง ให้เขาพูดในสิ่งที่เขาอยากพูด ให้ฟังในเรื่องที่เขาอัดอั้นตันใจ ทั้งหมดนั้นคือการปลดล๊อคให้อำนาจของประชาชนคืนมาสู่พวกเขา แม้จะเริ่มที่ความคิดก็เป็นการเขยื้อนภูเขาน้อยๆได้ กระทั่งคนสาวหนุ่มรุ่นเจ็นแซดรับข่าวสารของเขาได้ พลันพลังที่ถูกปิดทับของพวกเขาก็ปะทุระเบิดออกมาในคลื่นลูกใหม่กว่าอีกวาระ

ถ้าธนาธรเป็นกองหน้าในการเปิดพื้นที่ กองหลังที่เสริมน้ำหนักและทิศทางให้แก่พรรคอนาคตใหม่ได้แก่เลขาธิการพรรคปิยบุตร แสงกนกกุลและโฆษกพรรคพรรณิการ์ วานิช ปิยะบุตรอาจเป็นเลขาฯพรรคการเมืองคนแรกที่มาจากนักวิชาการเต็มตัว นโยบายและแนวทางในการแก้ปัญหาจึงมีการค้นคว้าและนำเสนอในรูปแบบที่สมจริง ทั้งในระยะสั้นและยาว

ดังที่เขาได้กล่าวในการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายนี้ว่า ภารกิจของพรรคอนาคตใหม่คือการยุติ ๓ อย่าง ยุติการสืบทอดอำนาจของกองทัพ ยุติมรดกของคสช. และยุติการทำรัฐประหาร แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆและเป็นปัญหาเฉพาะ หากแต่มันเป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่ครอบคลุมสังคมไทยมาอย่างยาวนาน แต่ในฐานะของพรรคการเมืองที่มุ่งไปสู่อนาคตใหม่ หากไม่ตั้งเป้าจุดหมายของอนาคตที่ใหม่และสดใสจริงๆก็เสียชื่อเปล่าๆ

พรรณิการ์เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดผู้ฟังด้วยคำพูดที่หนักแน่น ชัดเจนและมีความถูกต้อง ประสบการณ์การทำและเสนอข่าวสารแก่สาธารณชนทำให้เธอตระหนักถึงพลังของความจริงว่าอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พรรณิการ์เป็นโฆษกพรรคการเมืองที่ไม่เหมือนเก่าอีกเช่นกัน ไม่ใช่คนทำหน้าที่ปกป้องคำวิจารณ์ที่มีต่อพรรค หากแต่ต้องทำให้สาธารณชนเข้าใจในพรรคอย่างถูกต้อง และที่สำคัญคือต้องไม่ยึดพรรคเป็นดังสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือของมีค่าที่ถูกตำหนิไม่ได้

เมื่อเธอตอบว่า หากธนาธรถูกจับ หรือผู้สมัครทั้งหมดถูกจับ พรรคอนาคตใหม่ก็จะยังคงอยู่ เพราะธนาธรไม่ใช่พรรคอนาคตใหม่ หากแต่คือประชาชนทั้งมวลต่างหาก มันเป็นคำประกาศแห่งเสรีชนใหม่ เมื่อทุกคนเป็นเสรี พรรคก็ไม่มีความหมาย

โดยสรุป พรรคอนาคตใหม่เป็นการเกิดและเคลื่อนไหวของพลังแห่งเสรีภาพ ความเท่าเทียมกันและศักดิ์ศรีในความเป็นคนของคนรุ่นใหม่ การเคลื่อนไหวและต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยพันธนาการของระบบสังคมและเศรษฐกิจที่สร้างความอยุติธรรมและไม่เท่าเทียมกัน ได้ดำเนินมาอย่างยาวนาน บัดนี้ถึงเวลาที่คนอีกรุ่นจะออกมาทวงคืนความเป็นคนของพวกเขาและคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ เป็นรุ่งอรุณของอนาคตใหม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image