ไม่ใช่ชัยชนะอันพรรคพลังประชารัฐได้มาอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเท่านั้นหรอกที่เหนือความคาดหมาย ไม่ใช่ความพ่ายแพ้อันพรรคประชาธิปัตย์ประสบเท่านั้นหรอกที่เหนือความคาดหมาย
เป็นการผงาดของ “อนาคตใหม่” ต่างหาก
ชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐเป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดคิดอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่เพราะ “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ DESIGN มาเพื่อพวกเรา” ประการเดียว
หากเป็นเพราะ “อำนาจ” ยังอยู่ในมือ “คสช.”
ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดคิดอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่เพราะมีความขัดแย้งแตกแยกกันอยู่ภายใน กระทั่งบางส่วนไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ บางส่วนไปจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย
หากเป็นเพราะ “ยุทธวิธี” การชูธง 2 ผืนในท่ามกลางการช่วงชิงอันแหลมคม
กระนั้น ชัยชนะของพรรคอนาคตใหม่ต่างหากที่อยู่นอกเหนือความคาดคิดอย่างแท้จริง ชัยชนะของพรรคอนาคตใหม่ต่างหากที่สร้างความตื่นตะลึง
ทำไมพรรคอนาคตใหม่จึงก่อสภาวะตื่นตะลึง-ตึงเป็นอย่างสูงในทางการเมือง ทั้งจากฝ่ายที่หงุดหงิด ทั้งจากฝ่ายที่เกิดความปรีติ ปราโมทย์
เพราะล้วนมองว่าเป็น “ละอ่อน” ในทางการเมือง
ไม่ว่าจะมองจากพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะมองจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าจะมองจากพรรคประชาธิปัตย์
การเกิดขึ้นของ “อนาคตใหม่” น่าหัวร่อ
เป็นไปได้อย่างไรที่พรรคการเมืองซึ่งไม่มีอดีต ส.ส.เลยจะแจ้งเกิดได้ เป็นไปได้อย่างไรที่พรรคการเมืองซึ่งไม่มีหัวคะแนนเลยจะแจ้งเกิดได้
ลองดูรอยยิ้มหยันๆ ของ “ป้ามัลลิกา” เมื่อดีเบตกับ “น้องช่อ” ก็จะสัมผัสได้
ลองย้อนกลับไปดูคำปราศรัยที่ระบุบทบาทของอ้ายตัวร้าย “ใหม่” ในเวทีใหญ่ที่เขตบึงกุ่มของพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็จะสัมผัสได้
แล้ววันที่ 24 มีนาคม ก็เกิดปรากฏการณ์ “บาทาลูบหน้า” ครั้งสำคัญ
ข้อน่าสังเกตก็คือ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้เวลายาวนานเกือบ 5 ปีจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เพื่อประกาศความชัดเจน
พรรคอนาคตใหม่ชัดเจนตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคม 2561
ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจของ คสช. ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เกิดขึ้นมาด้วยความอัปลักษณ์ ชัดเจนว่าจำเป็นต้องล้างผลพวงของ คสช.
เป็นความชัดเจนในระดับ “โครงสร้าง” มิใช่ชัดเจนแบบ “ยาแก้ปวด”
เป็นความชัดเจนอย่างประจักษ์ในลักษณะของการดำรงอยู่แห่ง “ระบอบ คสช.” อันสะท้อนการสมคบคิดระหว่างกลุ่ม “อำนาจนำ” ที่ประกอบส่วนระหว่างกองทัพ ทุนผูกขาด
ผ่านกระบวนการ “รัฐประหาร” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่จึงมิได้เป็นเรื่องบังเอิญ หากเป็นไปตามสภาพความเป็นจริงของปัญหาอันดำรงอยู่ในสังคมไทยนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2490 เป็นต้นมา
ชัยชนะของพรรคอนาคตใหม่จึงสำคัญและทรงความหมาย
ภาพแห่งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ตอกย้ำให้เห็นขั้วฝ่ายในทางการเมืองอย่างเด่นชัด เป็นเช่นเดียวกับก่อนรัฐประหารปี 2549 เป็นเช่นเดียวกับก่อนรัฐประหารปี 2557
เพียงแต่ยุทธศาสตร์ใหญ่คือการทำลายล้าง ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย
แต่ผลของการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม ไม่เพียงแต่พรรคเพื่อไทยยังดำรงอยู่ หากแต่ยังได้เกิดพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาอีกพรรคหนึ่ง
การดำรงอยู่ของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ จึงสำคัญและทรงความหมาย