ชะตากรรมของพรรคประชาธิปัตย์ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม เป็นชะตากรรมที่ทั้งน่าเห็นใจและทั้งเรียกร้องความเข้าใจเป็นอย่างสูง
เหมือนกับในที่สุดมารวมศูนย์อยู่ที่จะเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มิได้มีเพียงเท่านั้นหรอก มีมากกว่านั้น
หากดูเฉพาะความชัดเจนก่อนการเลือกตั้งของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อันทำให้เกิดอาการสะวิงโหวต
1 สะวิงไปให้กับพรรคพลังประชารัฐ 1 สะวิงไปให้กับพรรค อนาคตใหม่
เหมือนกับเป็นการลงโทษพรรคประชาธิปัตย์
ปรากฎการณ์อันเกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์เป็นสัญญาณ เตือนอันแหลมคมยิ่งในทางการเมือง โดยเฉพาะต่อชื่อเสียงและ เกียรติภูมิของพรรคประชาธิปัตย์
ถามว่าพรรคประชาธิปัตย์สร้างชื่อมาจากปัจจัยอะไร
คำตอบที่เด่นชัดในยุคของ นายควง อภัยวงศ์ และ ม.ร.ว.เส นีย์ ปราโมช คือ การต่อต้านทหาร
แม้เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ต้องทำแนวร่วมกับทหารหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2490 เพื่อกำจัดกลุ่มของ นายปรีดี พนมยงค์ ออกไป แต่เป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังต่อต้านการเข้ามาของทหารในการเมือง
ใครที่ศึกษารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2492 จะเข้าใจเป้าหมายนี้
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้กีดกันทหาร คณะรัฐประหารจึงต้องทำรัฐประหารในปี 2494 ฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2492 อันเปิดทางให้ ทหารเข้ามาก่อร่างสร้างตัวให้กับ”ทุนขุนศึก”อย่างคึกคัก
ประวัติศาสตร์นี้ของพรรคประชาธิปัตย์กลุ่ม New Dem น่าจะศึกษาและทำความเข้าใจ
พรรคประชาธิปัตย์หลังวันที่ 24 มีนาคม มีการแตกความคิดออกเป็น 2 แนวอย่างเด่นชัด 1 จะไปหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 1 จะดำรงความเป็น”ฝ่ายค้านอิสระ”
นี่ย่อมเป็นทาง 2 แพร่งสำหรับพรรคประชาธิปัตย์
นี่ย่อมเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันทรงความหมายยิ่งของพรรค ประชาธิปัตย์
จะมีอนาคต หรือกลายเป็นหางเครื่องก็อยู่ที่ตรงนี้