ปัญหาอันเกิดขึ้นที่กกต.รวมศูนย์อยู่ที่ปัญหาของ “ความเชื่อมั่น” มี รากฐานมาจาก 2 จุดสำคัญ
1 คือ รัฐธรรมนูญ 1 คือ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.
โดยทุกอย่างถูกแปรเป็นการปฏิบัติที่เป็นจริงผ่านการเลือก ตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา
สาเหตุบานปลายเป็นไปตามที่ นายวิษณุ เครืองาม สรุป
“กกต.ควรออกมาชี้แจงข้อสงสัยต่างๆ เพื่อให้เกิดความกระจ่าง ชัดเจน รวบรวมคำถามทั้งหลายเพื่อตอบ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบแต่ ต้องตอบให้ตรงกัน”
ปมเงื่อนจึงอยู่ที่ 1 ไม่มีคำตอบจากกกต.อย่างทันท่วงที 1 คำตอบที่ออกมาโน้มเอียงไปในทางที่ไม่ตรงกัน
เมื่อสังคมเห็นว่าไม่ตรงกันจึงเป็นปัญหาเรื่องความเชื่อถือ
นับแต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นมา อาการแต่ละอาการของกกต.นั่นแหละคือมูลเชื้อแห่งความแคลงคลาง กังขา
เริ่มจากความล่าช้าในการนับคะแนน
ตามมาด้วยคะแนนที่ประกาศ “อย่างไม่เป็นทางการ” ครั้งแล้ว ครั้งเล่า คลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน
เป็นการคลาดเคลื่อนในระดับหลักล้าน ไม่ใช่หลักสิบ ร้อย
บางสาเหตุก็ด่วนตอบอย่างสวนกับอารมณ์และความรู้สึกชาวบ้าน ดังเช่นในกรณีบัตรเลือกตั้งจากนิวซีแลนด์ที่ระบุว่าไม่อาจนำมานับรวมได้
บางกรณีสังคมต้องการได้คำตอบอย่างเช่นกรณีคะแนนดิบ ในแต่ละหน่วย แต่ละจังหวัดอันเป็นพื้นฐานนำไปสู่การประกาศผลอย่างเป็นไม่เป็นทางการ มีคะแนนรวม แต่ไม่ยอมประกาศ
และยิ่งมีการนำเสนอสูตรคำนวณจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อที่ระบุได้ 30,000 คะแนนก็ได้ 1 ยิ่งสร้างความแคลงคลาง กังขา
ผลก็คือ กกต.กลายเป็นตำบลกระสุนตก
คำแนะนำจาก นายวิษณุ เครืองาม จึงเป็นคำแนะนำที่กกต.ควรนำไปเป็นแนวปฏิบัติ และจำเป็นต้องยึดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ว่ารัฐธรรมนูญ ไม่ว่าพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.
หากเมื่อใดกกต.พลัดไปจาก 2 หลักนี้ก็น่าเป็นห่วง
เพราะปฏิกิริยาอันเกิดเหมือนกับไฟลามทุ่งในขณะนี้เป็นปฏิกิริยาจากสถานการณ์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม
มิได้มีอะไรที่สลับซับซ้อนมากยิ่งไปกว่านั้น