⦁…คดี “ม.116” ที่ “สน.ปทุมวัน” ออกหมายเรียก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปแก้ต่างข้อกล่าวหาว่ามีพฤติกรรม “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” ก่อบรรยากาศร้อนระอุใน “โลกออนไลน์” อันเป็น “วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่” ซึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ประกาศว่า “เป็นอาวุธร้ายแรงกว่าอาวุธของกองทัพ” เป็นความร้อนแรงในมุมประเมิน “ชะตากรรมของผู้นำพรรคอนาคตใหม่” ความวิตกหนักหน่วงขนาด พาผู้คนจมดิ่งไปสู่ “ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” สมัย ครูครอง จันดาวงศ์ ทั้งที่ว่าไปเป็นเรื่องเก่าก่อนเลือกตั้งนานเน แต่ไปรื้อมาเล่นหลังคะแนน “อนาคตใหม่” พุ่งพรวด ความกังขาต่อเจตนาจึงมีน้ำหนักให้เชื่อ
⦁…เช่นเดียวกับ ปิยบุตร แสงกนกกุล ประเด็นที่เป็นเรื่อง กระทั่งโยงกันให้วุ่น จนกระตุ้นให้ไปค้น “ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย” ในตำนานของ ดร.สนอง บุณโยทยาน ออกมาเปรียบเทียบ ผลที่ตามมา นอกจาก “ความอกสั่นขวัญแขวน” ของผู้คนแล้ว ดูจะไม่มีอะไรดีต่อ “บรรยากาศทางการเมือง” อารมณ์ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอาจจะมากขึ้น แต่ “ความเบื่อหน่าย” และ “สิ้นหวัง” ต่อ “สิทธิเสรีภาพทางการเมือง” ที่ครอบคลุมความรู้สึกนึกคิดของ “คนรุ่นใหม่” จะเป็นคำถามว่าจะนำพัฒนาการของประเทศไปสู่หนใด
⦁…กะพริบตาไม่ได้เลยคือ “ประชาธิปัตย์” ท่ามกลางความรับรู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ถึงความตกต่ำอย่างสุดขีด จนมีคนคิดว่า “พรรคการเมืองเก่าแก่ใช่ว่าจะอยู่รอดในยุคนี้” ภายในพรรคกลับเกิดการปะทะกันรุนแรง ของ 2 ฟากความคิด พวกหนึ่งเรียกร้องให้ “ทบทวนอุดมการณ์เดิมขึ้นมาเป็นเครื่องยึดมั่น” ด้วยเหตุผลว่า “ประชาธิปัตย์” เกิดและเติบโตมาด้วยสิ่งนี้ แต่อีกฝ่าย “หัวชนฝา” กับการ “ปลุกผีทักษิณ” ขึ้นมาเพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุน “การเข้าร่วมรัฐบาลสืบทอดอำนาจ” ไม่ว่าจะเลือกเดินทางใด ล้วนส่งผลต่อ “การอยู่ร่วมกันได้ยาก” โดย “หัวหน้าพรรคคนใหม่” เป็น “สัญลักษณ์ของการเลือก”
⦁…แทบตั้งหลักไม่ถูก สำหรับ “กกต.” หลังการดำเนินการเลือกตั้งสะท้อน “ความอ่อนประสบการณ์” และ “ไม่เข้มแข็งในการบริหาร” จนเกิดเสียงกังขาให้ขรม ไปในทาง “ไม่เชื่อมั่นในความโปร่งใสเป็นธรรม” ทว่าเสียงวิจารณ์ในทางลบหนักเพียงนั้นแล้วก็ “ยังไม่จบ” การประกาศผล จำนวน “ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” ของแต่ละพรรค ซึ่งยัง “ไม่ลงตัวว่าจะใช้สูตรไหนมาเป็นหลักคิด” ผลคะแนนของ “พรรคเล็ก” กับ “ตัวหาร” ที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อย จะกลายเป็นประเด็น “ตอกย้ำความเชื่อ” ในข้อครหา “วาระซ่อนเร้น” และคราวนี้ ถ้าเป็นคดีขึ้นมา จะไม่ใช่แค่ “เออเรอร์” ของ “เจ้าหน้าที่” แต่เป็น “ฝีมือและเจตนาของผู้บริหารโดยตรง”
⦁…ถ้าเป็นมวยก็ถือว่า “ชั้นเชิงยอดเยี่ยม” สำหรับ อนุทิน ชาญวีรกูล ทั้งที่ “กระซิบกันให้ทั่ว” ว่า “ที่เลือกแล้วนั้นฝ่ายไหน” และ “ได้ควบคุมอะไร” แต่ป่านนี้ “คำยืนยันต่อประชาชน” ยังเหมือนไม่มีท่าทีที่ชัดเจน ซ้ำยังมีกระแสออกมาว่า “ยังยืนอยู่ในจุดที่ประกาศไว้ในดีเบตก่อนเลือกตั้ง” รักษาภาพไว้จนกว่าถึงเวลา “ความจริงปรากฏ” เมื่อถึงเวลานั้น “ไม่จำเป็นต้องชี้แจงอะไร” เพราะน่าจะมีเรื่องอื่นให้ประชาชนสนใจมากกว่าไปแล้ว
⦁…ถึงวันนี้ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” เป็นเรื่องต้อง “หาความหมาย” กันอีกครั้ง หลังจาก พล.อ.อภิรัชต์
คงสมพงษ์ ชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่อง “จำเป็น” จะตามกระแส “ซ้ายดัดจริต” ไม่ได้ ทบทวนกันไปมา “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” คือการผลัดกันขึ้นมามีอำนาจระหว่าง “พรรคการเมือง” ที่อาศัยช่องทาง “การเลือกตั้ง” กับ “ทหาร” ที่ใช้ “รัฐประหาร” เข้าควบคุม การต่อสู้ยังผลัดกันรุก ผลัดกันรับ จนป่านนี้ยังวนเวียนเหมือนที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่ ที่น่าสงสารคือ “ความเป็นไปของประชาชน” จากประเทศที่ “เสถียรภาพทางการเมืองมีไม่พอสำหรับการพัฒนา”
⦁…คำตอบของอำนาจอยู่ที่ “ทุนผูกขาด” ว่าเชื่อมันจะคุยกับใครได้ง่ายกว่า ระหว่าง “ทหารครองอำนาจ” กับ “นักการเมือง” บางช่วงหนุนการเรียกร้องให้ “ทหารกลับกรมกอง” บางช่วง “เรียกทหารออกมาปราบปรามการทุจริต” “อำนาจ” ถูกกำหนดให้อยู่กับฝ่ายไหน ดูจาก “ทุนที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งว่าเทไปให้ใครมากกว่า” คนเหล่านี้ร่ำรวยยิ่งขึ้นเรื่อยๆจากการเมืองแบบไทยๆ ขณะที่ “ประชาชน” ไม่เคยเข้าถึง “โอกาส” อย่างแท้จริง
ชโลทร