ตีความ ผลเลือกตั้ง ทางสองแพร่ง ทางตัน-ทางรอด

การเลือกตั้งผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม แต่ผลการเลือกตั้งยังคงกลายเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้
เมื่อปรากฏว่า ส.ส.ระบบเขตจาก 350 เขตทั่วประเทศ พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งไป 137 คนสูงเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่พรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.ระบบเขต 97 คน
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยที่มี ส.ส.เขตมากที่สุดกลับมีคะแนนรวมของพรรคน้อยกว่าพรรคพลังประชารัฐ
ปัญหาเรื่องความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลก็ระเบิดขึ้น
เมื่อพรรคพลังประชารัฐยกเอาเสียง “ป๊อปปูลาร์โหวต” เป็นเหตุผลในการรวบรวมพรรคการเมืองอื่นๆ
แต่พรรคเพื่อไทยไม่ยอม พรรคเพื่อไทยชูเอาจำนวน ส.ส.เขตที่ได้มากที่สุดเป็นความชอบธรรม
ทั้งสองพรรคมีเป้าหมายที่จำนวน ส.ส.เกิน 250 คน
นั่นคือรวบรวม ส.ส.ได้ 251 คนขึ้นไป

ต่อมาพรรคเพื่อไทยโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรคอื่นๆ ประกอบด้วยพรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทยพรรคประชาชาติ พรรค     เพื่อชาติ พรรคปวงชนไทย ประกาศร่วมกันคัดค้านการสืบทอดอำนาจ
หมายความว่าไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแน่
ทั้งนี้ ทางขั้วเพื่อไทยได้รวมเอาพรรคเศรษฐกิจใหม่ของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่ประกาศก่อนหน้านี้ว่าร่วมหัวจมท้ายกับฟากฝั่งคัดค้านการสืบทอดอำนาจด้วย
แต่ในวันนั้นนายมิ่งขวัญไม่ได้ไปร่วม และประกาศให้รอฟังผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการวันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ กกต.ต้องประกาศผลเลือกตั้งก่อน
อย่างไรก็ตาม ตามตัวเลขที่พรรคเพื่อไทยและพรรคที่เข้ามาสนับสนุนรวมกัน ปรากฏว่ามีจำนวน ส.ส.สูงเกิน 250 เสียง
นั่นคือมีเสียง 255 เสียง ซึ่งน่าจะบรรลุเป้าหมายตั้งรัฐบาลได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น
พรรคพลังประชารัฐยังคงประกาศจัดตั้งรัฐบาลต่อไป โดยขอให้ฟังผลการเลือกตั้งที่ กกต.จะเป็นผู้ประกาศก่อน
พร้อมกันนั้น ทั้ง นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ต่างก็มั่นใจ
พรรคพลังประชารัฐมีเสียงสนับสนุนเพียงพอจัดตั้งรัฐบาลแน่
นั่นคือมีเสียงเกิน 250 เสียง

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้สายตากลับไปเพ่งมองการจัดการเลือกตั้งของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.
เป็นการย้อนกลับไปมองการทำงานของ กกต. พร้อมด้วยคำถาม
ทั้งคำถามที่ว่าการนับคะแนนที่ กกต.ดำเนินการไปเพียงแค่ 95 เปอร์เซ็นต์ แล้วรอจนกระทั่งพรรคเพื่อไทยกดดันจึงแถลงผล 100 เปอร์เซ็นต์นั้น มีความน่าฉงน
ขณะเดียวกันก็ปรากฏข่าวการโต้แย้งเรื่องวิธีการคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และข้อกำหนดของ ส.ส.     ที่พึงมี
กลายเป็นสูตรการคำนวณที่จนป่านนี้ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะต้องคิดกันอย่างไร
มีทั้งสูตรที่กำหนดให้พรรคที่ได้คะแนนรวมทั้งหมดของพรรคซึ่งเกินกว่าจำนวนบัตรดีหารด้วย 500
หรือเกินกว่า 71,000 เสียง จึงจะมีสิทธิได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
มีทั้งสูตรที่ไม่สนเรื่องนี้ และได้กระจาย ส.ส.บัญชีรายชื่อไปให้พรรคที่มีคะแนนน้อยกว่า 71,000 เสียงด้วย
ทำให้หลายพรรคแม้จะมีคะแนนเพียง 30,000 กว่าคะแนนก็ยังได้ ส.ส.
หรือสูตรที่ระบุว่าจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อก็ต่อเมื่อพรรคนั้นได้ ส.ส.ระบบเขต
กว่าจะเคาะว่าใช้สูตรไหนก็เล่นเอาวุ่นไปพักใหญ่

ความล่าช้าในการประกาศผล ความไม่แน่นอนของวิธีการคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นำมาซึ่งข้อครหา
กระทั่ง กกต.เดินเข้าสู่จุดเสี่ยง เมื่อมีผู้ระดมให้ลงชื่อถอดถอน กกต.ออกจากตำแหน่ง
จากวันนั้นถึงวันนี้ เพียงไม่กี่วันตัวเลขของผู้เห็นด้วยกับการถอดถอน กกต.ออกจากตำแหน่งทะลุ 8 แสนและยังพุ่งขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน การจัดตั้งรัฐบาลเริ่มมีกระแสข่าว “งูเห่า” คือ ดึงเอา ส.ส.จากพรรคขั้วตรงข้ามให้มาสนับ     สนุนพรรคอีกขั้วหนึ่ง
การดึงพรรค ดึง ส.ส.ที่เป็นข่าว มีทั้งการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี และการใช้เงิน
ตอกย้ำความสับสนที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และกลายเป็นปัญหาเรื่องความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล
นอกจากนี้ เริ่มมีขบวนการโจมตีพรรคอนาคตใหม่ พุ่งเป้าไปที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค
เจ้าหน้าที่รัฐขยับแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 116 ขณะที่สังคมออนไลน์ก็เริ่มเผยแพร่คลิปต่างๆ เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ มาโจมตี
คดีความที่อาจมีผลถึงกับการยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมือง รวมถึงการจำคุก เริ่มกลายเป็นกระแสข่าว
ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ คือเป้าหมาย
นอกจากนี้ ยังมีท่าทีของฝ่ายกองทัพที่เริ่มขยับเข้ามาร่วมวงการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย
ท่าทีต่างๆ ที่ปรากฏไม่ได้เป็นคุณต่อฝ่ายพรรคขั้วตรงข้าม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่เป็นคุณต่อพรรคที่ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ

Advertisement

เมื่อย้อนกลับไปทำความเข้าใจปรากฏการณ์และปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจะพบว่า ทุกอย่างมาจากผลการ    เลือกตั้ง
การเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนจำนวนประมาณ 35 ล้านเสียงลงคะแนน
ผลจากการลงคะแนนพบว่า ส.ส.เขต พรรคเพื่อไทยคว้าชัย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคอื่นๆ ได้จำนวน ส.ส.ตามมา
ตรงนี้คือโจทย์ที่ทุกฝ่ายต้องตีความว่าประชาชนมีเจตนารมณ์อะไร
พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร 250 คนจาก 350 เขต ได้รับเลือกตั้ง137 คนนั้นย่อมมีความหมาย
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของพรรคอนาคตใหม่ พร้อมๆ เสียงสนับสนุนนายธนาธร และนายปิยบุตร       ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ แม้จะต้องคดี
นี่ก็ย่อมส่งสัญญาณอะไรบางอย่างออกมา
ขณะที่ฝ่ายการเมืองกำลังยื้อแย่งอำนาจกัน ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงมองดูนักการเมืองรุ่นใหม่ด้วยความหวาดระแวง
รวมถึงกลุ่มทุนที่ยังไม่คุ้นเคยกับนักการเมืองรุ่นใหม่ ก็ยังไม่ไว้วางใจหากคนกลุ่มนี้มีโอกาสบริหารประเทศ
แต่ทุกอย่างต้องกลับไปที่วัตถุประสงค์ของการเลือกตั้ง
ประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิทุกเสียงล้วนมาด้วยความตั้งใจที่จะแสดงเจตนา
การตีความผลการเลือกตั้งจึงสำคัญต่อกาลเวลาที่กำลังจะมาถึง
ตีความเจตนารมณ์ของประชาชนถูกก็คือทางรอด
แต่หากตีความเจตนารมณ์ของคนไทยผิด
ประเทศอาจจะต้องกลับไปสู่ทางตันอีกคำรบ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image