สถานการณ์ที่กรรมการกกต.ถูกกดดันจากจำนวนรายชื่อกว่า 8 แสนที่เรียกร้องให้ถอดถอน ถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ร้ายแรงจนถึงขั้นวิกฤต
แม้จะได้รับการรับรองจากคสช. แม้จะได้รับการรับรองจากรัฐบาล แม้จะได้รับการรับรองจากผบ.เหล่าทัพ
แต่ทำท่าว่าจำนวนกว่า 8 แสนกำลังทะยานไปสู่หลักล้าน
หากประมวลความรู้สึกต่อกรรมการกกต.ก็จะมีสาเหตุมาจากความข้องใจในประสิทธิภาพของการทำงาน โดยเฉพาะการ เลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม
จากนั้นก็นำไปสู่ความไม่เชื่อถือ ความไม่ไว้วางใจและไม่แน่ใจในความสุจริต เที่ยงธรรม
ความไม่ไว้วางใจ ความไม่เชื่อถือ คือจุดเสี่ยงยิ่งต่อกกต.
ข่าวรอบด้าน กับ Line@มติชนนิวส์รูม คลิกเป็นเพื่อนกัน ได้ที่นี่
ประเด็นว่าด้วยประสิทธิภาพมีรูปธรรมให้เห็นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของ การจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า โดยเฉพาะในต่างประเทศ สะท้อนถึง ความไม่พร้อม
ไม่ว่าระหว่างเลือกตั้ง ไม่ว่าเมื่อมีการจัดส่งผลการเลือกตั้งเข้ามา
กรณีของนิวซีแลนด์นับว่าล่อแหลมที่จะเกิดความผิดพลาด
ยิ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการนับคะแนนกกต.ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความไม่พร้อมในเชิงเปรียบเทียบกับการจัดการเลือกตั้งในอดีตไม่ว่าโดยกระทรวงมหาดไทยหรือโดยกกต.
ทั้งๆที่เมื่อก่อนอยู่ในยุค”อะนาล็อก” ทั้งๆที่ในปัจจุบันอยู่ในยุค “ดิจิทัล”
แต่ผลของการนับคะแนนถอยหลังไปยิ่งกว่า”อะนาล็อก”
เนื่องจากกกต.เกิดขึ้นมาพร้อมกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มีความต่อเนื่องมาถึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 รวมแล้ว 20 ปีการเลือกตั้งจึงมิได้เป็นของใหม่สำหรับกกต.
ตรงนี้เองที่ก่อให้เกิดความสงสัยต่อกรรมการกกต.ปัจจุบัน
ข้อน่าเป็นห่วงก็คือ ความไม่ไว้วางใจเริ่มมาจากประสิทธิภาพในการทำงาน ขณะเดียวกัน จากความไม่ไว้วางใจในเชิงการบริหารก็มีโอกาสบานปลายไปสู่ความไม่ไว้วางใจในเชิงจริยธรรม
สงสัยในรากฐานความเป็นมาของกกต.
สงสัยในกลไกของรัฐธรรมนูญ สงสัยในกลไกของพรป.ว่าด้วยกกต. ว่าด้วยพรรคการเมือง ว่าด้วยการเลือกตั้ง
ในที่สุดก็ไปรวมศูนย์อยู่ที่ความสงสัยต่อ”คสช.”