ไม่ว่ากรณีหมายเรียก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน ไม่ว่ากรณีกกต.มีมติแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาทกับคนที่ร่วมลงชื่อถอดถอน 7 กกต.
กำลังจะกลายเป็นเรื่อง “บานปลาย” ขยายออกไปกว้างขวาง มากเป็นลำดับ
ทั้งๆที่การแจ้งความของคสช. ด้วยการรื้อฟื้นเอากรณีตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ขึ้นมา ทั้งๆที่การรับลูกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการจบเรื่องราว
แต่พลันที่มี คณะทูตนานาชาติ จาก 12 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศเข้าไปปรากฏตัวที่ สน.ปทุมวัน และพลันที่กระทรวงการต่างประเทศจะเรียกตัว 12 คณะทูตให้เข้าไปชี้แจง
นี่ย่อมเป็นเช่นเดียวกับกรณีหมิ่นประมาทต่อกกต.
ต้องยอมรับว่าการแจ้งความกล่าวโทษของกกต.ได้ตกไปอยู่ในกำมือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยมี สน.ทุ่งสองห้องเป็นกองบัญชาการใหญ่
นัดหมายให้ผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนเข้ารายงานตัวในวันที่ 11 เมษายน
แต่ก่อนมีการรายงานตัวก็มีการประท้วง “เงียบ” ที่นำโดยนายอานนท์ คำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน เป็นเวลาติดต่อกันเป็นวันที่ 4 แล้ว ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ยิ่งกว่านั้น คณะของนักวิชาการจำนวนมากกว่า 90 คน ที่ตั้งข้อสงสัยต่อการทำงานของกกต.ก็ประกาศเดินทางไปยังกกต.และแสดงความพร้อมที่จะตกเป็นจำเลยของกกต.
ยิ่งกว่านั้น การเคลื่อนไหวเพื่อล่ารายชื่อตามสถาบันการศึกษาและตามที่สาธารณะเพื่อให้ได้จำนวนถึงหลัก 1,000,000 ก็ยังดำเนินต่อไป
ข่าวรอบด้าน กับ Line@มติชนนิวส์รูม คลิกเป็นเพื่อนกัน ได้ที่นี่
ไม่มีใครแสดงความหวาดกลัวต่อคำขู่ของกกต.
ในที่สุดเมื่อนำเอากรณีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาวางเรียง เคียงกับกรณีของกกต.เอากฎหมายหมิ่นประมาทมาปิดปากของผู้ที่ตั้งข้อสงสัยต่อการทำงานของกกต.
ก็กลายเป็นกรณีประเภท “คนละเรื่องเดียวกัน”
ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นกรณีประเภท “คนละเรื่องเดียวกัน” ที่ไม่มีใครสามารถสกัดขัดขวางการขยายตัวไปได้ แม้ต้องการสกัดและ ขัดขวางก็ตาม
เข้าทำนอง รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ