กรณีที่มีการเรียกตัวคณะทูตจาก 12 ชาติและองค์กรระหว่างประเทศเข้ากระทรวงการต่างประเทศ กำลังจะกลายเป็นการแก้ในเชิงสร้างและขยายปัญหาออกไป
ไม่เพียงแต่สะท้อน “วิธีคิด” หากแต่ยังสะท้อน “วิธีวิทยา” ของการเข้าบริหารจัดการที่บิดเบี้ยว
พลันที่มี “ปฏิกิริยา” จากสถานเอกอัครราชทูตก็เกิด “คำถาม”
เหมือนกับจะเป็นคำถามต่อสถานเอกอัครราชทูตและต่อองค์กรระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นคำถามต่อกระทรวงการต่างประเทศและต่อรัฐบาลด้วย
เพราะคณะทูตนั้นประกอบส่วนขึ้นจากหลายประเทศและจากหลายองค์กรที่มีสถานะและเกียรติภูมิในทางสากล
เป็นไปได้หรือที่จะไม่เคยรู้แบบธรรมเนียมทางการทูต
คล้อยการเดินทางตามคำสั่งการจากกระทรวงการต่างประเทศก็ปรากฏคำแถลงโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ
สหรัฐอเมริกายืนยันว่า
“การดำเนินการเช่นนี้ถือเป็นแนวปฏิบัติปกติในทางการทูต สหรัฐให้ความสนใจต่อกรณีนี้เช่นเดียวกับอีกหลายๆกรณี”
สหภาพยุโรปหรือ EUยืนยันว่า
“การสังเกตการณ์การไต่สวนหรือการดำเนินคดีเป็นการดำเนินการตามหลักปกติทางการทูตที่ทำกันทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการยึดมั่นต่อสิ่งที่ถือเป็นมาตรฐานสากล”
ขณะเดียวกัน ยังกล่าวขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย
“ที่ให้ความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกให้กับการสังเกตการณ์และยังเสนอที่จะบรรยายสรุปให้กับคณะผู้แทนทางการทูตอีกด้วย” สภาพจึงกลายเป็นว่าคณะผู้แทนทางการทูตเห็นว่าเป็นกิจกรรมอันเป็นปกติที่ทำกันทั่วโลก
เว้นแต่กระทรวงการต่างประเทศเท่านั้นที่เห็นว่า “อ-ปกติ”
ถามว่าอะไรคือเป้าหมายของกระทรวงการต่างประเทศต่อกรณีที่คณะทูตจาก 12 ชาติและองค์กรระหว่างประเทศเข้าสังเกตการณ์กรณีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ไปรายงานตัว ณ สน.ปทุมวัน
คำตอบก็คือ ต้องการให้เรื่องยุติ
แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ภายหลังสถานการณ์เมื่อวันที่ 6 เมษายนกับสถานการณ์ในวันที่ 10 เมษายน เรื่องยุติหรือไม่
ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นขยายประเด็นมากขึ้น มากขึ้น