หากดูจากภูมิหลังของพรรคประชาธิปัตย์ หากดูจากภูมิหลังและกระบวนการท่าของ นายเทพไท เสนพงศ์ ในการปล่อย “รัฐบาลแห่งชาติ” เข้ามา แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็น “รัฐบาลปรองดอง”
จะไม่เข้าใจอย่างรอบด้าน
และอาจมองเห็นท่วงทำนองของ นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นเรื่องตลกโปกฮา หรือเป็นเรื่องของวาจาพาไป
เหมือนกับว่าข้อเสนอนี้จะมีจุดเริ่มต้นจากปัญหา “ภายใน”
1 คือความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งกระทั่งกลายเป็นพรรคอันดับ 4 เป็นรองแม้กระทั่งพรรคอนาคตใหม่
1 คือความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์
นั่นก็คือ ความขัดแย้งตั้งแต่เข้าไปมีเอี่ยวกับ “รัฐประหาร” ไม่ว่าเมื่อปี 2549 ไม่ว่าเมื่อปี 2557 นั่นก็คือ ความขัดแย้งที่ทำให้เกิดการแยกตัวไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ ไปอยู่พรรครวมพลังประชาชาติไทย
จึงได้กลายมาเป็น “รัฐบาลแห่งชาติ” จึงได้กลายมาเป็น “รัฐบาลปรองดอง”
ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความขัดแย้งอันสะสมและหมักหมมมาในห้วง 1 ทศวรรษอย่างแน่นอน
ทั้งหมดนี้จะทำความเข้าใจ ต้องทำอย่างมีการเปรียบเทียบ
มีความจำเป็นต้องเปรียบเทียบและหาความต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา
ซึ่งสังคมมองว่ามีความโน้มเอียงไปทางพรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยประกาศจากบุรีรัมย์ว่าพร้อมจะร่วมรัฐบาลกับฝ่ายใดที่ยินยอมรับนโยบายกัญชาเสรีเป็นวาระแห่งชาติ
ภายในพรรคประชาธิปัตย์ก็แตกความคิดเป็น 2 แนว
แนวทาง 1 เป็นกลุ่มของ นายถาวร เสนเนียม ที่สุดลิ่มทิ่มประตูในการหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับอีกแนวทาง 1 ที่แม้ยังเงียบแต่ นายเทพไท เสนพงศ์ ก็นำเสนอรัฐบาลปรองดอง
เป็นการปรองดองโดยไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ต้องยอมรับว่าแนวทางที่เสนอโดย นายเทพไท เสนพงศ์ สร้างความแตกต่างไม่เพียงแต่ต่อกลุ่มของ นายถาวร เสนเนียม เท่านั้น
หากยังเฉียบขาดกว่าคำประกาศของพรรคภูมิใจไทยด้วย
เพราะไม่ว่าจะเรียกว่า “รัฐบาลแห่งชาติ” เพราะไม่ว่าจะเรียกว่า “รัฐบาลปรองดอง” ด้านหลักก็คือไม่มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะหากมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ใช่การปรองดอง
นี่คือข้อเสนอที่ยังรักษาความชัดเจน 1 ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์เคยยืนยันก่อนการเลือกตั้ง
เท่ากับทำให้ไปยืนบนเส้นทางเดียวกันกับ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่
ขณะเดียวกัน ก็เท่ากับสร้างจุดต่างอย่างมีนัยสำคัญกับพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา
ทำให้สถานะและเกียรติภูมิของพรรคประชาธิปัตย์ยังดำรงอยู่
อย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความยืนยาวมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2489 อย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์มิใช่อยู่จะสามารถเป็น “สถาบัน” ในทางการเมืองได้
การร่วม หรือไม่ร่วม จึงต้องคิดถึง “อนาคต”
มิใช่เฉพาะอนาคตสั้นๆ หลังวันที่ 9 พฤษภาคม ตรงกันข้าม เป็นอนาคตที่พรรคประชาธิปัตย์จะอยู่คู่กับสังคมประเทศไทย
การปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงสำคัญ