อารมณ์ในทางสังคมที่มีต่อกกต.ไม่ว่าเมื่อรู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องให้ช่วยคิดสูตรการคำนวณหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ว่าเมื่อรู้ว่ามีประชาชนกว่า 8 แสนร่วมลงชื่อแสดงความรู้สึก
กำลังจะเป็น”มาตร”วัดอย่างแหลมคมยิ่ง
ยิ่งเมื่อประสบเข้ากับการตัดสินใจที่จะเล่นงาน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าสังคมมีแนวโน้มในทางความรู้สึกอย่างไรต่อกตต.
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม คือจุดตัด คือเส้นแบ่ง
เส้นแบ่งว่า ประชาชนให้ความไว้วางใจต่อประสิทธิภาพการทำงานของกกต.มากน้อยเพียงใด จุดตัดว่าสังคมจะฝากความหวังไว้กับกกต.ได้หรือไม่
นี่คือ วิกฤตศรัทธาที่กำลังก่อรูปต่อกกต.
มีลักษณะ 2 ด้านอันดำรงอยู่ภายในสถานะของกกต.ซึ่งกำเนิดขึ้นในยุคหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
1 เป็นความรู้สึกที่ไว้วางใจ 1 เป็นความรู้สึกที่แคลงคลางใจ รู้สึกไว้วางใจหากมีความเชื่อมั่นต่อรัฐประหารและต่อคสช. รู้สึกคลางแคลงใจหากไม่มีความเชื่อมั่นต่อรัฐประหารและต่อคสช.
พฤติกรรมของกกต.ในห้วงก่อน ระหว่างและภายหลังการเลือกตั้งนั่นแหละคือคำตอบ
คำตอบว่า การเลือกตั้งบริสุทธิ์และเสรีเพียงใด
ท่าทีของกกต.ต่อแต่ละพรรคการเมืองจึงเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้สึกในเชิงสะสม ไม่ว่าจะต่อพรรคพลังประชารัฐ ต่อพรรคประชาธิปัตย์ ต่อพรรคเพื่อไทย ต่อพรรคอนาคตใหม่
ไม่เพียงแต่พรรคการเมืองเหล่านั้นจะรู้สึก หากแต่สังคมก็สัมผัสได้
เมื่อเข้าสู่กระบวนการของการเลือกตั้ง เมื่อกกต.สำแดงออกจึงกลายเป็นคำตอบ กลายเป็นบทสรุป
นับจากศาลรัฐธรรมนูญลงมติคืนคำร้องของกกต.ก็เด่นชัดอย่างยิ่งว่าสังคมมีความรู้สึกและมีความรู้สึกอย่างไรต่อกกต. รูปธรรม หนึ่งคือพาดหัวของสื่อ ไม่ว่าสื่อเก่า ไม่ว่าสื่อใหม่
หรือแม้กระทั่งความรู้สึกของแต่ละองค์กรทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นองค์กรตรวจสอบการเลือกตั้ง
ท่าทีทั้งหมดนี้จะชี้ทิศทางใน”อนาคต”ของ”กกต.”