สถานีคิดเลขที่ 12 : ในอ้อมกอด‘มิตร’

“อย่าให้เรื่องนี้เป็นการทำเพื่อปกป้องธนาธร
แต่ขอให้ทำเพื่อปกป้องความเป็นธรรม
นี่ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของสังคม…
ที่มาให้กำลังประชาธิปไตยและความเป็นธรรมของประเทศนี้”

วาทะ ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ข้างต้น

ดูจะโอ่อ่าไปบ้าง สำหรับ ฝ่ายที่ไม่ใช่ “ติ่งธนาธร”

แต่กระนั้น หากใครอยู่ในสถานะเช่นเดียวกับ นายธนาธร และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล “เพื่อนร่วมรบ”

Advertisement

ที่วันนี้กำลังเป็นเป้าของนานาศัสตราวุธที่พุ่งเข้าใส่

ซึ่งถึงจะหันหลังชนกัน สู้ ตาย ก็คงทานไม่ไหว

จำเป็นต้องปลุกกระแสมวลชนขึ้นมาช่วยกำบัง

Advertisement

อย่างที่เขากล่าวกับแฟนๆ ที่ไปรับ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากต้องบินกลับด่วนจากการไปดูงานที่ยุโรป เพื่อมาชี้แจงกรณี กกต.เห็นว่าเอามีคุณสมบัติต้องห้าม จากเหตุถือหุ้นสื่อนั่นเอง

ซึ่งก็คงไม่ผิดอะไร หากกระแสมวลชนนั้น เป็นกระแสประชาธิปไตย และเพื่อปกป้องความเป็นธรรม

ภายใต้พื้นฐาน สงบ สันติ เสรี

แต่ จะผิดมหันต์เลยทีเดียวหากพวกเขาเรียกร้องอำนาจพิเศษ หรือเขียวการเมือง มาช่วยปกป้อง

เพราะนั่น ไม่ใช่ แนวทางของ “อนาคตใหม่” ที่คนจำนวนมากคาดหวัง

คือ แนวคิดประชาธิปไตยใหม่ ที่ตรงไปตรงมา ไม่หลายมาตรฐาน และไม่มีวาระการเมืองซ่อนเร้น

อย่างฝ่ายที่หวัง “สืบทอดอำนาจ” จากการรัฐประหาร กระทำด้วยการขุดข้อกล่าวหาต่างๆ นานาเข้าใส่

โดยหวังว่า กับดักที่ดีไซน์ไว้สักวันจะแสดงฤทธิ์เดชกับพวกนักการเมืองฟันน้ำนมเหล่านี้

ซึ่งฝ่ายหนุน นายธนาธรและนายปิยบุตร เองก็คงต้องเตรียมใจไว้

เพราะมีโอกาสพลาดได้ตลอดเวลา

และถึงเวลานั้น อาจต้องมีสติและถือแนวทางสงบ สันติ เสรี เอาไว้ให้ดี

อย่างที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวไว้

“พูดคุยกันว่านายธนาธรจะได้ใบส้ม หากได้จริงๆ ก็ไม่เป็นอะไร นายธนาธรยินดีทำหน้าที่อยู่นอกสภา เชื่อว่ามีงานอื่นให้ทำอีกมาก”

เป็นหลักคิดที่ถูกต้อง

โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ได้คิดเล่นการเมืองแบบเฉพาะกิจ

แต่พร้อมจะเล่นการเมืองยาวๆ

มิใช่เปลี่ยนแนวทางจากประชาธิปไตยไปสู่วิธีการอื่น อย่างพวกที่สืบทอดอำนาจรัฐประหารชอบทำ

การยืนหยัดและอดทนในสิ่งที่ถูกต้อง จะนำพาแรงหนุนมาจากทุกๆ ทาง

ที่สำคัญอาจทำให้ฝ่ายที่ไม่ชอบทาง “อนาคตใหม่” กลับมาช่วย

เพราะทนเห็นการถูกกระทำไม่ไหว

อย่างกรณี นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ที่ยืนยันว่าไม่ใช่ เฟรนด์ ออฟ ธนาธร

แต่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ว่าสังคมกำลังเดินทางผิดหรือเปล่า

และเตือนระวังโดมิโนที่จะตามมา

“…สังคมนิติรัฐที่ยึดถือตัวอักษรทุกตัวกำลังกลายเป็นสังคมอยู่ยาก
เจตนาของการเขียนกฎหมายห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อ
คือไม่ให้เขาใช้อิทธิพลของสื่อที่มีเพื่อหาเสียง หาความนิยมเข้าตัวเข้าพรรค
หรือใช้สื่อเพื่อทิ่มแทงฝ่ายตรงข้าม
การลาออกจากสื่ออย่างเป็นทางการ
แต่กลับเป็นเบื้องหลังสำคัญในการบงการทิศทางสื่อให้เอียงข้างนั้น
เลวร้ายกว่าการลืมลาออกจากสื่อที่ไม่เกี่ยวข้องหรือมีอิทธิพลใดทางการเมืองหรือไม่
เราไม่เคยนึกถึง เคยไหมที่ กกต.จะมอนิเตอร์ทีวีทุกช่องทุกเช้า และส่งคำเตือนไปยังทีวีอย่างน้อย 3-4 ช่องว่าไม่เป็นกลาง…กลับไม่คิดทำ
แต่เรื่องเล็กที่ตีความตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กลับสนใจที่จะทำ…”

นั่นคือเสียงจากฝ่ายไม่ชอบ

แต่พร้อมจะหันมาเป็นแนวร่วม-ร่วมรบ

อันเป็นสิ่งที่ อนาคตใหม่ ต้องการยิ่ง

 

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image