‘ปิยบุตร’ ชี้ สูตรแจกส.ส.27พรรค ก็ไม่เป็นธรรมกับคนเลือกอนค. ฮึ่ม ขู่ฟ้อง กกต.

“ปิยบุตร” ฮึ่ม ขู่ฟ้อง กกต. ทั้ง “ม.157-ละเว้นปฏิบัติหน้าที่-ฝืนจริยธรรมร้ายแรง” ถามใช้สูตรแจกปาร์ตี้ลิสต์ 27 พรรค ทำ อนค.หาย 8 ที่นั่ง เป็นธรรมกับคน 6 แสนที่เลือก อนค.ไหม? โวย ดำเนินดคี “ธนาธร” ปมหุ้นไม่เป็นธรรม พร้อมปรามนักร้อง-แจ้งความเท็จ โทษคุก

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 30 เมษายน ที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนค. แถลงถึงความผิดพลาดในการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 3 ประเด็น ว่า 1.การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ล่าสุด พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. แถลงเหมือนจะใช้สูตรคิด ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบ 27 พรรค ก่อนจะประกาศรับรองผลร้อยละ 95 วันที่ 9 พฤษภาคม หากคิดแบบนี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่จะหายไป 7-8 ที่นั่ง คิดเป็น 6 แสนกว่าคะแนนที่ประชาชนเลือกอนาคตใหม่จะอยู่ในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งขอยืนยันว่า การคำนวณมีสูตรเดียวตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนด ในมาตรา 91(1) ให้นำคะแนนรวมแบบแบ่งเขตของทุกพรรคหารด้วย 500 คือ 71,057 คะแนน จากนั้น 91(2) นำคะแนนรวมแบบแบ่งเขตของแต่ละพรรคหาร 71,057 จะได้ ส.ส.พึงมี อนาคตใหม่จะมี ส.ส.พึงมี 88 คน ซึ่งเขียนชัดว่าจำนวน ส.ส.ต้องไม่เกินจำนวน ส.ส.พึงมี จึงต้องมี 71,057 คะแนน ถึงจะได้ ส.ส. 1 คน

นายปิยบุตรกล่าวว่า มีกรณีเดียวคือ 99(4) กำหนดว่า หากพรรคไหนได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตเกิน ส.ส.พึงมี ให้ถือว่าได้ ส.ส.จากแบบแบ่งเขต และจะไม่ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเลย ซึ่งมีพรรคเดียวเท่านั้นคือพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ได้ ส.ส.เขต 136 มี ส.ส.พึงมี 111 เรียกโอเวอร์แฮงก์ ก็ต้องคำนวณปัดเศษตามพรรคที่มีคะแนนตั้งแต่ 71,065 คะแนนขึ้นไป นอกเหนือจากนี้จะไม่ถูกคิดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งคิดแบบนี้อนาคตใหม่จะมี ส.ส.พึงมี 88 คน ข้อโต้แย้งที่บอกว่าระบบเลือกตั้งนี้ต้องการให้ความสำคัญกับทุกคะแนน พรรคที่ได้ 30,000-69,000 คะแนน จะไม่ให้ความสำคัญหรือ ตนก็ขอถามกลับว่าแล้ว 6 แสนกว่าคะแนนของอนาคตใหม่ที่จะหายไปนั้นไม่สำคัญเลยหรือ ส่วนการนำความเห็นของ กรธ.มาอธิบาย แต่ กรธ.แต่ละคนก็อาจเห็นไม่ตรงกันก็ได้ และความเห็น กรธ.ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ กรธ.ไม่เท่ากับ รธน. เมื่อร่างเสร็จแล้วรัฐธรรมนูญก็มีชีวิตของมัน องค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ต้องตีความรัฐธรรมนูญตามอำนาจหน้าที่ ไม่ใช่ถามความเห็น กรธ. ถ้าทำแบบนี้ กรธ.ก็เป็น รธน.เสียเอง ไปถามอะไรก็ต้องทำตาม กรธ.ศักดิ์สิทธิ์ไปหมด

“ถ้าจะคำนวณให้ยุติธรรมจริงๆ ก็ต้องเดินตามรัฐธรรมนูญ หาก กกต.คำนวณแบบ 27 พรรค ให้พรรคที่มีคะแนน 30,000-69,000 คะแนน ได้ ส.ส. อนค.จะเป็นผู้เสียหายโดยตรง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค อนค. 7-8 คน ที่ต้องถูกตัดออกไป ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินคดีต่อ กกต.ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 69 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ที่กำหนดถึงการละเว้นของ กกต. มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และยังถือเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง สามารถร้องยัง ป.ป.ช.และศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ง่ายๆ คือ ช่องทางต่างๆ ที่ กกต.ต้องรับผิดชอบจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ อนาคตใหม่ขอสงวนสิทธิ์ดำเนินการตามกฎหมาย” นายปิยบุตรกล่าว

Advertisement

นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า 2.การเปิดเผยคะแนนดิบรายหน่วย ตามที่ อนค.เคยส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือต่อ กกต.ขอให้เปิดเผย แต่รองเลขาธิการ กกต.ได้แถลงข่าวโดยสรุปว่า คะแนนดิบไม่ได้เป็นความลับ อยู่ที่ กกต.จังหวัด ใครอยากได้ให้ไปขอ ซึ่งหนึ่งเดือนหลังการเลือกตั้ง ผู้สมัคร ส.ส.อนาคตใหม่ได้ไปขอคะแนนดิบแล้วในทุกเขต แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ ส่วนที่ได้ก็มีปัญหา เช่น จ.นครปฐม เขต 1 จน กกต.สั่งให้นับคะแนนใหม่ จ.กรุงเทพมหานคร เขต 2 ได้คะแนนรายหน่วยมาก็พบข้อพิรุธข้อบกพร่อง ในแบบฟอร์มขีดคะแนน และใบผลคะแนนรายหน่วย เมื่อนำมาเปรียบเทียบก็พบคะแนนทั้งสองส่วนไม่ตรงกัน ทั้งหมดนี้ สะท้อนว่ามีความผิดพลาดบกพร่องในการนับคะแนน จึงต้องทราบคะแนนรายหน่วยทั้งหมด ถ้าร้ายแรงมากจะได้ขอให้นับใหม่เลือกตั้งใหม่ หากไม่ได้คะแนนรายหน่วยจะทำการตรวจสอบไม่ได้ การตอบเช่นนี้ กกต.ต้องสั่งไปยัง กกต.จังหวัดทั้งหมด ให้เปิดเผยข้อมูลรายหน่วยทั้งหมด เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และอำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัคร ส.ส. ก็ขอให้เปิดคะแนนดิบให้หมด เพราะถือว่ารองเลขาธิการพูดแล้วว่าไม่เป็นความลับ ก็ไม่มีเหตุต้องปิด ต่อให้ไม่ขอก็ต้องเปิดมาเลย หาก กกต.มั่นใจว่าจัดเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม ก็จะเป็นเกราะป้องกันให้ กกต.เอง แต่หากทำลับๆ ล่อๆ จะทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัย

นายปิยบุตรกล่าวต่อว่า 3.กระบวนพิจารณาการถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค. ที่มีการชี้แจงหลักฐานโดยละเอียด แต่ต่อให้เปิดเผยแค่ไหน ระบบการพิสูจน์ก็เหมือนกับในยุคกลางแบบ “จารีตนครบาล” ที่การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ต้องลงไปเดินน้ำลุยไฟ ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้กล่าวหา ข่าวเจาะถือเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง แต่เมื่อเจาะลงไปแล้วเขาไม่ผิด ก็ต้องยืดอกยอมรับอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ใช่ดึงดันจะเจาะเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่ได้รับการให้เข้าชี้แจง แต่คณะกรรมการตรวจสอบไปเรียกเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ การเดินเรื่องตรวจสอบก็เป็นไปตามสำนักข่าวหนึ่งทั้งหมด เมื่อวันที่ 22 เมษายน เวลา 13.45 น. มีหนังสือส่งไปถึงนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของนายธนาธร ให้มาให้ชี้แจงต่อ กกต.ในวันที่ 22 เมษายน เวลา 10.30 น. ซึ่งต้องเป็นยอดมนุษย์เท่านั้นจึงไปชี้แจงได้ ทำได้อย่างเดียวต้องนั่งไทม์แมชชีนไป ตรงนี้เรามีหลักฐานเลข ems ชัดเจน ตนไม่เข้าใจอะไรกันหนักหนา นี่คือความผิดปกติจากการตรวจสอบ ฝ่ายถูกตรวจสอบไม่ได้มีโอกาสชี้แจง วันนี้ชี้แจงข้อกล่าวหา ตนในฐานะทีมกฎหมายจะเข้าไปร่วมกับนายธนาธรเพื่อชี้แจงพร้อมเอกสารลังใหญ่หลักฐาน 26 รายการเข้าไปชี้ด้วย ยืนยันว่าความยุติธรรมไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการฟังความข้างเดียว แต่ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องฟังความทุกฝ่าย ส่วนเอกสารข้อกล่าวหาที่กำหนดให้ชี้แจงภายใน 7 วัน ลงวันที่ 23 เมษายนนั้นมี 1 หน้า ระบุว่า เลขาฯ กกต.ขอให้ท่านแจ้งทราบข้อกล่าวหา ในระหว่างรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ซึ่งอนาคตใหม่ยื่นสมัครวันที่ 6 กุมภาพันธ์ จากการตรวจสอบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บ.วี-ลัค จำกัด ส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่านายธนาธรถือหุ้น ดังนั้นท่านจึงเป็นผู้ถือหุ้นเป็นบุคคลต้องห้ามในการรับสมัครเลือกตั้ง

“มันมีปัญหาตรงที่เราไม่อาจทราบได้ว่า 1.เอกสารบัญชีผู้ถือหุ้นฉบับไหน ลงวันที่เท่าไร 2.ข้อกล่าวหาตีขลุมไปเลยว่า ท่านถือหุ้น บ.วี-ลัค โดยไม่อธิบายข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเอกสารไม่มีชื่อธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นแล้ว เพราะจบไปตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม เราจึงตั้งข้อสังเกต หาก กกต.ให้ความเป็นธรรมกับเรา การเขียนข้อกล่าวหาต้องละเอียดหน่อย ในทางวิธีปฏิบัติจะกล่าวหาอะไรเขียนไม่ชัดไม่ได้ต้องเขียนใหม่ เพราะส่งผลถึงความไม่ชอบ ถ้าเป็นอัยการส่งสำนวนแบบนี้ไปศาลอาญาเขายกแน่ หากจะทำแบบนี้ก็เขียนเลยว่า กกต.มีอำนาจตรวจสอบนักการเมืองชั่วลูกชั่วหลาน ชั่วกัลปาวสาน ถ้าทำแบบนี้ก็เท่ากับเปลี่ยนแนวคำพิพากษาศาลฎีา ผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนโดนหมด การทำธุรกิจประกอบกิจการจะมีปัญหาหมด จะฆ่าหนูตัวเดียวแล้วเผาบ้านทั้งหลังก็เอา” นายปิยบุตรกล่าว

Advertisement

นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า การให้เวลาชี้แจงเพียง 7 วัน ถือว่าสั้น แล้วยังไม่ได้บอกข้อเท็จจริงอีก เมื่อไปดูเทียบเคียงคดีพรรคอื่นพบว่าทำไมจึงช้า เช่น การร้องเรียนตรวจสอบการจัดโต๊ะจีนระดมทุน ทั้งยังไม่รู้ว่าจะต้องชี้แจงตรงไหนบ้าง ส่งการบ้านโดยไม่บอกโจทย์อะไรเลย และขอย้ำว่า กกต.ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามนายธนาธรในเวลานี้ โดยมีอำนาจตรวจสอบในวันที่สมัคร และก่อนวันเลือกตั้ง ระฆังหมดยกคือวันที่ 23 มีนาคม พอหลังเลือกตั้ง แต่ยังไม่ประกาศผล ระหว่างนี้การตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามทำได้เฉพาะผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ตามที่มาตรา 53 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.กำหนดไว้เท่านั้น ที่กำหนดต่างกันเพราะ ส.ส.แบบแบ่งเขต คะแนนที่ได้จะส่งผลต่อคะแนนของบัญชีรายชื่อ จึงให้ตรวจได้อีกครั้ง แต่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อนั่งเฉยๆ รอดูผลคะแนนแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง หากจะตรวจคุณสมบัติต้องรอรับรองผล ส.ส.ก่อน โดยต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย การแจกใบส้มก็แจกไม่ได้ เพราะไว้ใช้สำหรับการเลือกตั้งที่ไม่สุริตหรือไม่เที่ยงธรรม ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม หากจะใช้การตีความขยายความไปเรื่อย อาจเข้าข่ายจงใช้กฎหมายโดยขัดเจตนารมณ์ของกฎหมาย หากจะตีความขยายกฎหมายข้ามช่องการตรวจสอบ แล้วจะออกแบบกฎหมายเป็นช่องทางทำไม อยากให้ กกต.พึงระมัดระวัง หากยืนยันจะตรวจสอบโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย อาจเข้าข่ายใช้อำนาจโดยมิชอบ กฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 69 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ที่กำหนดถึงการละเว้นของ กกต. มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และยังถือเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง สามารถร้องยัง ป.ป.ช.และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายปิยบุตรกล่าวว่า เรามีความปรารถนาดี อยากเข้ามาทำงานการเมืองให้ประเทศเดินไปสู่อนาคตแบบใหม่ พร้อมรับการตรวจสอบ โดยต้องใช้กฎหมายตามหลักความยุติธรรม ไม่ใช่เครื่องมือทางกฎหมาย ไม่ใช่การสกัดกั้นไม่ให้เข้าสภา การตรวจสอบที่เลือกปฏิบัติและกลั่นแกล้งทางการเมืองไม่ได้กระทบเพียงผู้สมัคร ส.ส. แต่กระทบกับคะแนนที่ประชาชนเลือกเข้ามา ที่สำคัญคือการนำองค์กรอิสระและกระบวนการทางกฎหมายที่วางไว้มาใช้เพื่อแรงจูงใจทางการเมือง ผมเห็นใจ กกต.มากที่ต้องรับศึกตามกติกาใหม่เดิมพันสูง มีแรงกดดันทุกสารทิศ แต่ กกต.ก็สามารถเอาตัวรอดได้ ถ้าสุจริต โปร่งใส ยึดหลักความยุติธรรม ก็จะเป็นเกราะกำบัง ถึงเวลา กกต.ต้องพิสูจน์ความอิสระอย่างแท้จริง

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.สกลนคร เขต 2 พรรค อนค. ถูกศาลชี้ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง นายปิยบุตรกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา ทำให้เห็นว่ามีปัญหาเรื่องบริคณห์สนธิ เพราะในความเป็นจริงบริษัทของนายภูเบศวร์ทำรับเหมาก่อสร้าง แต่มีข้อหนึ่งเขียนถึงสื่อ ก็ถูกนักร้องไปนั่งตามหาใบบริคณห์สนธิกัน วันๆ ชีวิตไม่ต้องทำอะไร ค้นข้อมูลร้องกันไปมา ประเทศนี้จะบริหารกันด้วยการค้นหาบริคณห์สนธิกันหรือ ซึ่งขอเตือนบรรดานักร้องว่าหลายเรื่องเข้าข่ายฟ้องเท็จ บางคนปิดกิจการไปแล้ว บางคนตายไปแล้ว บางคนโอนหุ้นไปแล้ว โดยมาตรา 143 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ใครที่กล่าวหาคนอื่นว่าไม่มีสิทธิสมัคร ส.ส. ต้องโดนใบเหลือง ใบส้ม เป็นเท็จ มีโทษจำคุก 5-10 ปี ปรับ 1-2 แสนบาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี นักร้องที่จะกลั่นแกล้งทางการเมือง อยากบอกว่า ถ้าอยากเป็นนักร้องต้องมืออาชีพหน่อย ทั้งนี้ เรายังกำลังใจดีใช้ชีวิตปกติ จัดกิจกรรมกันปกติ แต่กลับมีเรื่องหงุดหงิดกวนใจ แทนที่จะทำได้เรื่องสร้างสรรค์ ตอนนี้ทำท่าจะบานปลาย ต่างขุดคุ้ยกันมาอีก บ้านเมืองเราจะไม่คิดเรื่องการตั้งรัฐบาล การบริหารประเทศกันแล้วหรือ ผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ก็ต้องเคารพเสียงประชาชนกันบ้าง นายธนาธรจะหัวเสียก็เรื่องนี้ แทนที่จะได้ดูงาน กลับต้องคอยมาชี้แจงอีก ชี้แจงก็ไม่ฟังบอกปลอม จะต้องตรวจสอบดีเอ็นเอกันแบบจับอาชญากรเลยหรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image