ข้อมูลอัพเดตล่าสุดของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กับตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่มีสัญชาติไทย อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ในวันออกเสียงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 โดยรวมทั่วทั้งประเทศ มีจำนวน 50,585,118 ราย แบ่งเป็นชาย 24,465,842 ราย หญิง 26,119,276 ราย
แยกเป็นจังหวัดตามภาคดังนี้
กรุงเทพมหานคร
มีผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งสิ้น 4,483,075 ราย ชาย 2,068,744 ราย หญิง 2,414,331 ราย
ภาคเหนือ
จังหวัด ชาย หญิง รวม
1.เชียงราย 449,549 475,728 925,277
2.เชียงใหม่ 615,676 675,688 1,291,364
3.น่าน 194,012 193,542 387,554
4.พะเยา 192,236 205,034 397,270
5.แพร่ 180,813 196,650 377,463
6.แม่ฮ่องสอน 85,412 82,476 167,888
7.ลำปาง 305,690 322,875 628,565
8.ลำพูน 161,072 175,500 336,572
9.อุตรดิตถ์ 179,614 190,868 370,482
10.ตาก 186,538 187,140 373,678
11.พิษณุโลก 331,788 353,825 685,613
12.สุโขทัย 231,363 251,239 482,602
13.เพชรบูรณ์ 382,555 396,354 779,509
14.พิจิตร 209,313 224,590 433,903
15.กำแพงเพชร 276,056 287,013 563,069
16.นครสวรรค์ 406,065 436,245 842,410
17.อุทัยธานี 128,717 133,992 259,709
รวม 9,202,928
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัด ชาย หญิง รวม
1.กาฬสินธุ์ 382,642 394,009 776,651
2.ขอนแก่น 697,134 732,297 1,429,431
3.ชัยภูมิ 438,404 453,619 892,023
4.นครพนม 271,104 276,233 547,337
5.นครราชสีมา 1,002,019 1,052,406 2,054,425
6.บึงกาฬ 158,134 157,724 315,858
7.บุรีรัมย์ 595,398 612,792 1,208,190
8.มหาสารคาม 374,027 397,043 771,070
9.มุกดาหาร 132,800 133,932 266,732
10.ยโสธร 213,841 215,542 429,383
11.ร้อยเอ็ด 514,556 527,765 1,042,321
12.เลย 248,674 247,715 496,389
13.ศรีสะเกษ 560,180 571,998 1,132,178
14.สกลนคร 433,716 442,407 876,123
15.สุรินทร์ 525,515 537,991 1,063,506
16.หนองคาย 197,724 201,585 399,309
17.หนองบัวลำภู 195,925 198,001 393,926
18.อำนาจเจริญ 145,384 147,775 293,159
19.อุดรธานี 597,060 613,779 1,210,839
20.อุบลราชธานี 700,897 709,683 1,410,580
รวม 17,009,430
ภาคกลาง
จังหวัด ชาย หญิง รวม
1.ชัยนาท 126,564 140,402 266,966
2.นครนายก 99,651 104,955 204,606
3.นครปฐม 333,529 375,037 708,566
4.นนทบุรี 436,721 520,113 956,834
5.ปทุมธานี 394,356 457,199 851,555
6.พระนครศรีอยุธยา 301,097 336,586 637,683
7.ลพบุรี 296,808 301,913 598,721
8.สมุทรปราการ 466,535 528,203 994,738
9.สมุทรสงคราม 73,991 83,065 157,056
10.สมุทรสาคร 191,927 215,214 407,414
11.สระบุรี 240,150 253,876 494,026
12.สิงห์บุรี 79,881 90,795 170,676
13.สุพรรณบุรี 320,844 353,587 674,491
14.อ่างทอง 106,823 120,167 226,990
15.จันทบุรี 200,878 214,342 415,220
16.ชลบุรี 528,562 573,355 1,101,917
17.ตราด 83,715 86,380 170,095
18.ระยอง 250,854 267,251 518,105
19.ฉะเชิงเทรา 262,767 280,867 543,634
20.ปราจีนบุรี 182,239 191,442 373,681
21.สระแก้ว 208,367 210,955 419,322
22.กาญจนบุรี 307,791 312,717 620,508
23.ราชบุรี 319,515 348,747 668,262
24.เพชรบุรี 178,448 197,542 375,990
25.ประจวบคีรีขันธ์ 196,730 207,900 404,630
รวม 12,961,686
ภาคใต้
จังหวัด ชาย หญิง รวม
1.กระบี่ 162,869 169,373 332,242
2.ชุมพร 191,076 199,243 390,319
3.ตรัง 233,028 251,553 484,581
4.นครศรีธรรมราช 581,197 607,686 1,188,883
5.นราธิวาส 260,162 275,011 535,173
6.ปัตตานี 228,275 240,999 469,574
7.พังงา 98,359 100,502 198,861
8.พัทลุง 195,336 211,098 406,434
9.ภูเก็ต 127,523 151,652 279,175
10.ยะลา 172,027 181,031 353,058
11.ระนอง 66,052 65,716 131,768
12.สงขลา 499,910 545,726 1,045,636
13.สตูล 110,743 115,026 225,769
14.สุราษฎร์ธานี 382,895 403,964 786,859
รวม 6,828,332
จากการแบ่งตัวเลขรายภาค จะเห็นได้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีจำนวน 20 จังหวัด มีตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้งสูงที่สุด
ถึง 17 ล้านคน ตามมาด้วยภาคกลาง ที่มีจังหวัดสูงสุดจำนวน 25 จังหวัด มีตัวเลขผู้มีสิทธิออกเสียงเกือบ 13 ล้านคน ขณะที่
ภาคเหนือมีจำนวน 17 จังหวัดมีผู้มีสิทธิออกเสียง 12.2 ล้านคน ขณะที่ภาคใต้มีจำนวนจังหวัดที่น้อยที่สุด 14 จังหวัด และมีจำนวนตัวเลขผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง 6.8 ล้านคน ซึ่งรวมแล้วผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากการทำประชามติปี 2550 จำนวน 5 ล้านคน
ดังนั้นหากผู้มาใช้สิทธิออกเสียงมาใช้สิทธิเกินร้อยละ 60 ตัวเลขผลการประชามติจะเป็นอย่างไร เพราะในเมื่อภาคใต้ เป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ภาคเหนือและภาคอีสาน เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย หากทั้ง 2 พรรครณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิจำนวนมาก ยิ่งเท่ากับเป็นการชี้ขาดว่าประเทศจะเดินไปทางใด
อย่างการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมา
ใช้สิทธิทั้งสิ้น 75.03% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 46,921,682 คน พรรคที่ได้รับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมากที่สุดคือ พรรคเพื่อไทย 15,744,190 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 48.41 ของผู้มาใช้สิทธิ รองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ 11,433,501 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 35.15 พรรคภูมิใจไทย 1,281,577 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 3.94 พรรคชาติไทยพัฒนา 906,656 คิดเป็นร้อยละ 2.79 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 494,894 คิดเป็นร้อยละ 1.52 พรรคพลังชล 178,110 คิดเป็นร้อยละ 0.55
พรรครักประเทศไทย 998,603 คิดเป็นร้อยละ 3.07 พรรคมาตุภูมิ 251,702 คิดเป็นร้อยละ 0.77 พรรครักษ์สันติ 284,132 คิดเป็นร้อยละ 0.87 พรรคมหาชน 133,772 คิดเป็น 0.41 และพรรคประชาธิปไตยใหม่ 125,784 คิดเป็นร้อยละ 0.39 โดยมีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน 1,419,088 คิดเป็นร้อยละ 4.03% คะแนนเสีย 2,039,694 คิดเป็นร้อยละ 5.79%
ขณะที่ผลการทำประชามติปี 2550 ผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 45,092,955 ผู้มาใช้สิทธิ 25,978,954 คิดเป็นร้อยละ 57.61 มีผู้ไม่มาใช้สิทธิ 19,114,001 คิดเป็นร้อยละ 42.39 เห็นชอบ 14,727,306 คิดเป็นร้อยละ 57.81 ไม่เห็นชอบ 10,747,441 คิดเป็นร้อยละ 42.19 รวม 25,474,747 ส่วนบัตรเสีย/คืนบัตร 504,207 คิดเป็นร้อยละ 1.94 ของบัตรทั้งหมด
หากเทียบระหว่างการลงประชามติปี 2550 กับการเลือกตั้งปี 2554 จะเห็นว่าคะแนนของพรรคเพื่อไทยสูงกว่าคะแนนของผลการประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญนับล้านคะแนน
ผลการประชามติจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการทำประชามติที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ในขณะที่องค์กรต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศกำลังจับตามอง