ในความเรียบร้อย ราบรื่น อันดังมาจากพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่า จะเป็น นายอุตตม สาวนายน ไม่ว่าจะเป็น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็ไม่แน่ว่าจะเรียบร้อย ราบรื่น อย่างชนิด 100 %
เสียงจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล อาจฟังเพราะเสนาะหู
“ขอเรียนว่า ยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลและแบ่งกระทรวง พรรคภูมิใจไทยกำลังฟังเสียงประชาชน”
ขณะที่เสียงของ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ค่อนข้างดุดัน
“การที่มีข่าวว่าพรรคพลังประชารัฐจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรีถึง 6 ตำแหน่งกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นการสร้างข่าวออกมามากกว่า
เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เขาโยนอะไรมาก็งับ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีศักดิ์ศรี”
ประเด็นอยู่ที่ว่า พรรคพลังประชารัฐมี 115 เสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มี 52 พรรคภูมิใจไทยมี 51 รวมกันเท่ากับ 103 น้อยกว่าเพียง 12 เท่านั้น
อำนาจการต่อรองในเรื่อง “โควต้า”จึงไม่ห่างกันมากนัก
ทั้งๆที่ข่าวปล่อยในเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยจะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐถูก “ปล่อย” ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ก่อนวันที่ 9 พฤษภาคมแล้ว
เหตุใด นายอนุทิน ชาญวีรกูล จึงยังยืนกราน
“ขอเรียนว่า ยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลและแบ่งกระทรวง พรรคภูมิใจไทยกำลังฟังเสียงประชาชน”
ความหมายแจ่มชัด นั่นก็คือ เจรจากันแล้วแต่ยังไม่ตกลง
ที่ไม่ตกลงกล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์มองไปยังกระทรวงเศรษฐกิจ กล่าวสำหรับพรรคภูมิใจไทยมองไปยังกระทรวงคมนาคม
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐยังรักษากระทรวงเศรษฐกิจเหมือนไข่ในหิน ไม่ว่ากระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
ตรงนี้ต่างหากที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้
การเกิดขึ้นของขั้วพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยที่พยายามจะดึงพรรคชาติไทยพัฒนาเข้าไป จึงเป็นเงาสะท้อนของการเมือง เก๋า เป็นการเมืองแห่งการแบ่งสันปันส่วน ต่อรอง
ปมเงื่อนอยู่ที่ว่า ไม่ว่า 113 ไม่ว่า 115 ก็ยังต้องพึ่งพิงอยู่กับ 250 ส.ว.อยู่นั่นเอง
นี่คือการเจรจา นี่คือการต่อรองในเรื่อง”ผลประโยชน์”