สถานการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2562 มีทั้งความเหมือนและความต่างไปจากสถานการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535
เหมือนตรงเป็นการเลือกตั้งหลัง “รัฐประหาร”
เหมือนตรงคณะรัฐประหารต่างต้องการสืบทอดอำนาจผ่าน กระบวนการเลือกตั้ง เพียงแต่เมื่อปี 2535 มีพรรคสามัคคีธรรมเป็นเครื่องมือ ขณะที่ปี 2562 มีพรรคพลังประชารัฐ
ต่างตรงที่อำนาจทางการทหารเมื่อปี 2535 ยังอยู่ในมือของ รสช.อย่างเต็มเปี่ยม
ต่างตรงที่การแผ่อำนาจผ่านพรรคสามัคคีธรรม ทหารแห่ง รสช.ลงมือด้วยตนเอง ขณะที่การแผ่อำนาจผ่านพรรคพลังประชารัฐ ด้านหลักของอำนาจเป็นนายทหารเกษียณ
ปัจจัยตรงนี้ละเอียดอ่อนและสำคัญ
การจัดตั้งพรรคสามัคคีธรรมของ รสช.บรรดา “บิ๊ก” แห่ง รสช.ลงไปอำนวยการโดยตรง ไม่ว่าเรื่องเงิน ไม่ว่าการส่ง “นอมินี” เข้าไป
เป็นบิ๊ก รสช.ที่ยังมีอำนาจอยู่ในมืออย่างเต็มเปี่ยม
จึงมิได้เป็นเรื่องแปลกที่จะมีบิ๊ก รสช.บางคนถือปืนเข้าไปในวงเจรจากับพรรคการเมือง และงัดปืนขึ้นมาข่มขู่หัวหน้าพรรคบางพรรคที่ต่อรองและมากด้วยเงื่อนไข
ในเดือนพฤษภาคม 2562 แม้ว่า ผบ.เหล่าทัพจะได้รับการแต่งตั้งโดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่เป็น คสช.
แต่ถามว่าบทบาทของ ผบ.เหล่าทัพต่อการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ ต่อการหนุนช่วยพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งดำเนินไปอย่างไร
แม้ว่าจะมีการออกโรงในห้วงก่อนและภายหลังการเลือกตั้งแต่ถามว่าบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายสยบยอมอย่างงอก่องอขิงหรือไม่
ที่มีการสรุปว่าเป็น “ขาลง” ของ คสช.จึงน่าพิจารณาอย่างยิ่ง
การเกิดขึ้นของข้อเสนอ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” การเกิดขึ้นของพันธมิตรแห่งแนวร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช. การเกิดขึ้นของขั้วที่ 3 อย่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา
จึงเป็นสถานการณ์อันยิ่งทำให้เกิดความแตกต่าง
ระหว่างสถานการณ์การเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 กับ สถานการณ์การเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535
เท่ากับเป็นการท้าทายและประลองกำลังกับ คสช.โดยตรง
