มิใช่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” หรอกที่เป็นด่านแรกของการแย่งชิง อำนาจภายหลังการเลือกตั้ง ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ต่างหากคือตัวพิสูจน์ทราบ
ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นเหมือนกระดานหกส่งไปยังตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี”
เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรดำรง ตำแหน่งเป็น”ประธานรัฐสภา” และเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
คล้ายกับตอนนี้มีชื่อ นายสุชาติ ตันเจริญ เป็นแคนดิเดตในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคพลังประชารัฐ แต่เมื่อปรากฏชื่อ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ตามมา
การแข่งขันภายในพรรคพลังประชารัฐจึงแหลมคม
นามของ นายสุชาติ ตันเจริญ อาจโดดเด่นตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ไม่เพียงเพราะเป็นสายตรงไปยัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อันเท่ากับการันตีโดย “กลุ่มสามมิตร”
แต่พลันที่นามของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ขึ้นเรียงเคียงขนาน อย่างเข้มข้น
เด่นชัดยิ่งว่า 2 คนนี้มาคนละสาย
ข่าวที่เด่นชัดตั้งแต่ก่อนและหลังเลือกตั้งก็คือ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ต่อสายตรงไปยังคสช. ไม่จำเป็นต้องผ่าน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
กรณีของ นายสุชาติ ตันเจริญ กับ นายวิรัช รัตนเศรษฐ จึงเท่ากับเป็นการประลองกำลังภายในภายในพรรคพลังประชารัฐ
1 ประลองพลังว่าเส้นสายของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หนักแน่นดังแผ่นผาจริงหรือไม่ 1 ประลองพลังว่าแท้จริงแล้วกลุ่ม สามมิตร หรือ นายวิรัช รัตนเศรษฐ เป็นพลังชี้ขาดในภาคอีสาน
เป็นการต่อสู้โดยไม่มีใครรู้ว่าเสียงจาก 245 ของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่และพันธมิตร จะหนุนใคร
กรณีการชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่เพียงแต่จะสะท้อนการประลองกำลังภายในภายในพรรคพลังประชารัฐหาก ทำท่าว่าอาจจะมี “เซอร์ไพรส์”
เซอร์ไพรส์จากปัจจัย”ภายนอก” จาก “ขั้วที่ 3”
คำถามอยู่ที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีเป้าหมายหรือไม่ พรรคภูมิใจไทยมีเป้าหมายหรือไม่
ปัจจัยชี้ขาดจึงอยู่ที่ 245 เสียงที่ตัง”บังเกอร์”อยู่
ข่าวรอบด้าน กับ Line@มติชนนิวส์รูม คลิกเป็นเพื่อนกัน ได้ที่นี่