รองโฆษกปช. ชี้ ฝ่ายบริหารก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมเอื้อต่างชาติเลี่ยงภาษี 6.8 หมื่นล.

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม นายสุพจน์ อาวาส รองโฆษกพรรคประชาชาติ ระบุว่า การที่นิติบุคคลฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด นำเข้าบุหรี่ต่างประเทศตรามาร์ลโบโร่ (Marlboro) และบุหรี่ตราแอล แอนด์เอ็ม (L&M) จาก บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ ประเทศฟิลิปปินส์ และถูกดำเนินคดี รวมถึง ถูกฟ้องต่อศาลอาญาในข้อหา “ร่วมกันกระทำความผิดฐาน ร่วมกันนำหรือพาของบุหรี่ (ยาสูบ) ตรามาร์ลโบโร่ (Marlboro) และตราแอลแอนด์เอ็ม (L&M) เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย เกี่ยวข้องด้วยประการใดๆ ในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรอันเกี่ยวกับการนำเข้าของ โดยเจตนาหลีกเลี่ยงและฉ้อค่าภาษีที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นยาวนานตั้งแต่ปี 2559”

นายสุพจน์ กล่าวว่า อนึ่ง นิติบุคคลฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จดทะเบียนนิติบุคคลที่มลรัฐเดลลาแวร์ ประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ความคุ้มครองตามสนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทย กับ สหรัฐอเมริกา ที่คนอเมริกันถือหุ้น 100% (ต่างกับบริษัทนิติบุคคลทั่วไปที่ต่างชาติถือหุ้นได้ 49% คนไทยถือหุ้น 51% ) และนิติบุคคล ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด ได้ตั้งสาขาในประเทศไทย ได้นำเข้าบุหรี่ต่างประเทศตรามาร์ลโบโร่ (Marlboro) และบุหรี่ตราแอล แอนด์เอ็ม (L&M) จาก บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งทั้งผู้ซื้อกับผู้ขาย มีบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ เป็นผู้ถือหุ้นเพียงผู้เดียว จำนวน 100% และบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ มีบริษัทฟิลลิป มอร์ริส คัมปะนีส์ อิงค์ ตั้งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เป็นผู้ถือหุ้นแต่ผู้เดียว จำนวน 100% พร้อมทั้ง ได้นำเข้าบุหรี่ฯ โดยสำแดงราคาต่ำ เนื่องจากภาษีบุหรี่ เป็นสินค้าทำลายสุขภาพมนุษย์ต้องเสียภาษีศุลกากรนำเข้าประมาณ 400% จึงสำแดงราคาต่ำ เพราะภาษีสรรพากรปัจจุบันนิติบุคคลเสีย 20% การจะกระทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นธุรกิจข้ามชาติ ซึ่ง บริษัทฟิลลิป มอร์ริสมีขนาดธุรกิจใหญ่ขนาดอันดับ 6 ของอเมริกา เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีมากถึง 68,000 ล้านบาท

นายสุพจน์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดทางอาญาฐานสำแดงเท็จตามกฏหมายศุลกากรเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร และไม่สามารถอ้าง WTO รวมถึง กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถแทรกแซงช่วยเหลือได้ และในที่สุดหากศาลได้พิจารณาพิพากษาตามพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นคนทำผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมายไทยและประเทศไทยจะได้มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย แต่กลับปรากฏเรื่องอัปยศอดสู (disgrace) ของฝ่ายบริหารระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนหนึ่งทำหนังสือราชการแบบเล่นปาหี่รับลูกส่งลูกกับนักกฎหมายชั้นสูงคนอีกคนหนึ่งที่มักจะชอบอวดรู้ชี้นำเรื่องผิดๆ แต่เรื่องดีๆที่เป็นประโยชน์กับประเทศกลับแกล้งกลายพันธุ์และไร้เดียงสาเที่ยวถามคนนั้นคนนี้เพื่อเอามารองรับความคิดที่ตื้นเขินและสกปรกซึ่งผิดแผกแตกต่างตามที่สุจริตชนพึงมี หรือ เข้าทำนองหาคนมาขี่เพื่อเป็นแพะรับบาปในตอนจบ แต่แพะตัวนี้ก็ฉลาดให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ให้ไปตีความคิดเอาเองด้วยวลีเด็ดท้ายข้อหารือที่ว่า “จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณาใช้ประโยชน์ตามที่เห็นเหมาะสมต่อไป” เท่ากับหารือไปและตอบกลับมามีค่าเท่าเดิมที่เหลือคงต้องวัดใจคนสั่งการคนสุดท้ายว่าใจถึงพึ่งได้ หรือ เขลาเบาปัญญาพอที่จะขายชาติด้วยการสั่งการให้กรมศุลกากรยุติเรื่องและถอนฟ้องคดีนี้ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรมหรือไม่และงานนี้คงได้เห็นกันล่ะว่าคนที่ปากบอกว่ารักชาติจะรักจนน้ำลายหก หรือ ตีอกชกหัว หรือ ดีใจจนเนื้อกระตุกเต้นกับสิ่งต่างๆที่งอกเงยตามมา

 

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image